คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฆ่าผู้อื่น

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 347 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7237/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แม้ถูกทำร้ายก่อน แต่การตอบโต้ด้วยอาวุธเกินกว่าเหตุ ไม่ถือเป็นการป้องกันตามกฎหมาย
ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ถูกวัยรุ่นคนหนึ่งทำร้าย หลังจากเหตุการณ์สงบแล้วเล็กน้อย จำเลยทั้งสองจึงเข้าไป ร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันและแทงผู้ตายฝ่ายเดียว การกระทำของจำเลยทั้งสองในลักษณะดังกล่าวหาใช่เป็นการกระทำโดย ป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 68 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 920/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษกรรมเดียวผิดหลายบท: พยายามฆ่าและฆ่าผู้อื่น
โจทก์ฟ้องในข้อ 1 ว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมแล้วแยกการกระทำเป็นข้อ ก. และข้อ ข. โดยข้อ ก.เป็นเรื่องพาอาวุธปืน ข้อ ข.เป็นเรื่องพยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายรวมกัน โดยบรรยายว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและผู้ตายหลายนัด กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย และกระสุนปืนที่จำเลยยิงดังกล่าวยังไปถูกผู้ตายหลายแห่งแสดงว่า มีการยิงผู้เสียหายและผู้ตายหลายนัดในคราวเดียวโดยกระทำต่อเนื่องกัน โจทก์รวมการกระทำเหล่านี้ไว้ในฟ้องข้อ ข. โดยถือเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำผิด 2 กรรม คือพาอาวุธปืนกรรมหนึ่ง พยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายรวมกันมาอีกกรรมหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายและฐานฆ่าผู้ตายแยกออกจากกันเป็น 2 กรรมจึงเป็นการลงโทษเกินฟ้อง อันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ชอบที่ศาลฎีกาจะแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าและฆ่าผู้อื่นเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 920/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษกรรมเดียวผิดหลายบทในคดีอาญา: พยายามฆ่าและฆ่าผู้อื่น
โจทก์ฟ้องในข้อ 1 ว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมแล้วแยกการกระทำเป็นข้อ ก. และข้อ ข. โดยข้อ ก. เป็นเรื่องพาอาวุธปืน ข้อ ข. เป็นเรื่องพยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายรวมกัน โดยบรรยายว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและผู้ตายหลายนัด กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย และกระสุนปืนที่จำเลยยิงดังกล่าวยังไปถูกผู้ตายหลายแห่งแสดงว่า มีการยิงผู้เสียหายและผู้ตายหลายนัดในคราวเดียวโดยกระทำต่อเนื่องกัน โจทก์รวมการกระทำเหล่านี้ไว้ในฟ้องข้อ ข. โดยถือเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำผิด2 กรรม คือพาอาวุธปืนกรรมหนึ่ง พยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายรวมกันมาอีกกรรมหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายและฐานฆ่าผู้ตายแยกออกจากกันเป็น 2 กรรม จึงเป็นการลงโทษเกินฟ้อง อันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ชอบที่ศาลฎีกาจะแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่าความผิดฐานพยายามฆ่าและฆ่าผู้อื่นเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5865/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยทารุณโหดร้าย และเหตุบรรเทาโทษจากคำรับสารภาพที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา
การที่จำเลยจับศีรษะผู้ตายกระแทกกับเนินดินจอมปลวกและใช้ไม้ตีจนกะโหลกแตกละเอียด น่าเชื่อว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาจะทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในทันทีเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนเท่านั้น มิใช่เพื่อให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดทรมานจนกระทั่งขาดใจตาย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าผู้ตายโดยกระทำทารุณโหดร้ายตาม ป.อ. มาตรา 289 (5) แต่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนตาม ป.อ. มาตรา 289 (7)
คำรับสารภาพของจำเลยอันจะถือเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ได้นั้น ต้องเป็นกรณีให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1823/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (มีเหตุทำร้ายร่างกาย) และช่วยเหลือตัวผู้กระทำผิด
++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา มีผู้พบศพนายอุรินทร์หาญเสือเหลือง ผู้ตายอยู่ในร่องน้ำข้างสะพาน ริมถนนจากบ้านหนองหมูไปบ้านป่าแขมใต้ ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
++
++ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
++ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบเพื่อให้เห็นสาเหตุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายเพราะว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน โดยโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ผู้ตายจะหย่ากับจำเลยที่ 2 โจทก์ร่วมทั้งสองห้ามปรามไว้เนื่องจากเห็นว่ามีบุตรด้วยกัน ผู้ตายพูดว่าเมื่อไม่หย่าก็จะร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนางจันทนา เงินวงศ์นัยครูโรงเรียนเดียวกันกับผู้ตายเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี 2536ถึงปี 2537 เคยไปบ้านจำเลยที่ 2 เพื่อจะนำมะม่วงไปให้ พบจำเลยที่ 2นั่งคลอเคลียพลอดรักอยู่กับจำเลยที่ 1 จึงทำทีออกมาเรียกว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง เมื่อเข้าไปใหม่จำเลยทั้งสองจึงแยกจากกันและได้ยินข่าวว่าจำเลยทั้งสองมีเรื่องชู้สาวกัน นายสินธุ ทนันชัย พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าทราบข่าวว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน และชาวบ้านพูดกันว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสินธุเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537มีการแข่งขันฟุตบอลที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง หลังจากเสร็จการแข่งขันแล้วเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา ได้มีการร่วมวงดื่มสุรากันข้างสนามฟุตบอลโดยมีผู้ตายร่วมด้วย เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มาร่วมดื่มสุราด้วย จากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง คนที่ร่วมวงได้ขอตัวกลับคงเหลือแต่นายสินธุกับผู้ตายและจำเลยที่ 1 อีกประมาณ 15 นาทีทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับ นายสินธุเดินมาเอารถจักรยานยนต์ของตนเองผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เดินคู่กันไปเอารถยนต์ของผู้ตายซึ่งจอดอยู่ที่โรงอาหารเมื่อนายสินธุขับรถผ่านผู้ตายตะโกนถามว่า จะไปต่อบนดอยซึ่งหมายถึงบ้านของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นายสินธุตอบว่าขอคิดดูก่อน แล้วนายสินธุขับรถมาที่ประตูหน้าโรงเรียน แวะบ้านนายฮดที่หน้าโรงเรียน ระหว่างนั้นเห็นรถผู้ตายออกมา แต่ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นคนขับรถของผู้ตายเลี้ยวขึ้นไปจอดทางขึ้นบ้านจำเลยที่ 1 ห่างจากที่นายสินธุยืนอยู่ประมาณ 80 เมตร ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.30 นาฬิกา นายสินธุคุยกับนายฮดต่ออีกประมาณ 10 นาที จึงกลับบ้าน ขณะนั้นรถของผู้ตายยังจอดอยู่ที่เดิม มีนางมาลัย ประสงค์ เบิกความว่า เป็นภิรยาของนายธานีประสงค์ ซึ่งเป็นนักการของโรงเรียนชุมชนบ้านมาง เห็นจำเลยที่ 1นั่งรถไปกับผู้ตายเพราะตอนนั้นพยานเข้าไปเก็บของ และมีนายธานีมาเบิกความสนับสนุนว่า เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ไปกับผู้ตายเพราะได้ถามจำเลยที่ 1 ว่าจะให้พยานไปส่งหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้เอารถมา จำเลยที่ 1 บอกว่า ผู้ตายจะไปส่ง มีนายสวน ขันทะบุตรเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยทางทิศเหนือของบ้านห่างจากบ้านประมาณ400 เมตร จำได้ว่าเป็นเสียงของผู้ตาย และมีนายวิน ตั๋นแก้วเบิกความสนับสนุนว่า มารับจ้างก่อสร้างห้องน้ำห้องส้วมที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนดังกล่าวในวันที่6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนและได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาเป็นเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือทางทิศเหนือบริเวณเชิงดอยประมาณ 10 นาทีและเมื่อพบศพผู้ตายแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมมีพันตำรวจโททักษ์พลเมืองดี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ6 ถึง 7 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากร้อยตำรวจเอกสนิท เหมืองอุ่น ว่ามีรถแฉลบอยู่บริเวณถนนสายบ้านหนองหมู - ป่าแขม และมีศพคนตายนอนอยู่บริเวณร่องน้ำ จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนไปที่เกิดเหตุและพันตำรวจโททักษ์ได้ติดตามไปด้วย จากการตรวจที่เกิดเหตุและประสบการณ์ที่ผ่านมา พันตำรวจโททักษ์มีความคลางแคลงใจว่าไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุโดยสังเกตบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยเบรกของรถ รถอยู่ในสภาพเกียร์ว่างไม่มีรอยครูดของถนนบริเวณที่ผู้ตายตกลงไป ระหว่างรถกับศพมีต้นไม้ขึ้นอยู่ไม่มีลักษณะผิดปกติ ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโททักษ์พันตำรวจโทสงวน เขื่อนคำ จ่าสิบตำรวจกมล วงศ์แพทย์ และนายแก้วเมืองมีทรัพย์ทองทวี ได้ไปตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบจอบ 1 เล่ม ก้อนหิน3 ถึง 4 ก้อน และบริเวณโต๊ะยาว ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1มีคราบโลหิตติดอยู่ พันตำรวจโททักษ์สั่งให้จ่าสิบตำรวจกมลเก็บหลักฐานร่องรอยคราบโลหิตที่พบและต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโทสงวนร้อยตำรวจเอกสนิท และจ่าสิบตำรวจกมลไปตรวจบ้านจำเลยที่ 1 อีกครั้งที่ห้างห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 50 เมตร พบกางเกงเก่าอยู่บนห้างมีคราบโลหิตติดอยู่เต็มไปหมดและมีรอยคราบโลหิตใหม่ประมาณ 5 วันติดอยู่บนพื้นห้างไหลหยดลงใต้ถุนห้างด้วย พันตำรวจโททักษ์ได้ส่งคราบโลหิตทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์ที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังส่งศพผู้ตายไปให้แพทย์ตรวจโดยละเอียดอีกครั้งนายแพทย์สมศักดิ์ วงไวเวช เบิกความว่า พยานจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2529 ได้รับบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขานิติเวชศาสตร์ จากแพทยสภาเมื่อปี 2534 และรับราชการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพและตรวจวัตถุพยานในคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2537 พยานได้รับถุงพลาสติกบรรจุสิ่งของเป็นคราบลักษณะเป็นผงหยาบคล้ายคราบโลหิตจำนวน 2 ถุง จากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาตามหนังสือนำส่งแจ้งว่าพบกองโลหิตอยู่ที่พื้นดินห่างจากศพผู้ตายประมาณ1 เมตร ขอทราบว่าโลหิตแห้งที่ส่งมาตรวจเป็นหมู่โลหิตของผู้ตายหรือไม่ผลการตรวจเป็นคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี ซึ่งเป็นโลหิตหมู่เดียวกับผู้ตายวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนได้ส่งศพผู้ตายมาตรวจเพื่อหาสาเหตุการตายและรายละเอียดต่าง ๆจากการตรวจศพปรากฏว่าสภาพศพเน่า ผ่านการฉีดฟอร์มาลินมาแล้วพบบาดแผลถลอกบริเวณคาง บาดแผลฟกช้ำที่เข่าซ้าย บาดแผลฟกช้ำที่บริเวณกลางทรวงอก บาดแผลฟกช้ำที่ศีรษะบาดแผลฉีกขาดบริเวณศีรษะด้านขวา ยาว 2 เซนติเมตร 3 เซนติเมตร อีกสองแผลยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ตามลำดับอยู่เหนือใบหูขวามีลักษณะเป็นกลุ่มชิดกันยังพบบาดแผลใต้แผลฉีกขาดจนกะโหลกศีรษะมีลักษณะยุบ วัดความกว้างยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร สันนิษฐานว่า ลักษณะบาดแผลทั้งหมดเกิดจากกระทบของแข็งไม่มีคมและบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาน่าจะถูกของแข็งไม่มีคมแต่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมบาดแผลที่ตรวจพบไม่เป็นสาเหตุให้ตายทันที แต่การตายน่าจะเกิดจากการจมน้ำตาย เนื่องจากตรวจพบน้ำปนเมือกในทางเดินหายใจ ซึ่งน้ำเข้าไปในทางเดินหายใจมากจะทำให้ขาดอากาศหายใจ บาดแผลที่ศพไม่น่าเกิดจากเหตุที่รถจักรยานยนต์ล้ม เนื่องจากบาดแผลบริเวณกลางทรวงอกช้ำและกระดูกส่วนดังกล่าวไม่มีการแตกหัก หากเกิดจากอุบัติเหตุรถชนกันหรือรถล้ม บาดแผลที่เกิดบริเวณทรวงอกส่วนใหญ่จะพบว่าอวัยวะบริเวณใต้ตำแหน่งนั้นจะได้รับอันตรายร่วมด้วย แต่ศพของผู้ตายไม่มี และบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาเป็นบาดแผลฉีกขาดมี 4 แผล อยู่ติดบริเวณกลุ่มเดียวกัน สันนิษฐานว่า บาดแผลทั้ง 4 แผล น่าจะเกิดจากการกระทำหลายครั้ง และต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนส่งวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้าม จำนวน 1 เล่มก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้น แผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัวมาให้ตรวจหาคราบโลหิต และหมู่โลหิตที่ติดกับของกลางดังกล่าวผลการตรวจสอบพบว่าวัตถุทุกชิ้นติดคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ และนายสินธุยังเบิกความด้วยว่า เมื่อวันที่8 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา พยานได้มาที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง ขณะที่กำลังเดินไปที่รถพบจำเลยที่ 1 กำลังจะขับรถออกจากโรงเรียน จำเลยที่ 1 ได้เรียกพยานให้ไปหายื่นกระดาษให้ 1 แผ่นบอกว่าเมื่อพนักงานสอบสวนถามให้ตอบตามข้อความในกระดาษซึ่งมีข้อความว่าออกจากโรงเรียน 2 ทุ่มกว่า อยู่กัน 2 คน กับผู้ตาย คุยกันเรื่องกีฬา ไม่ได้ทะเลาะกัน
++
++ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตาย คงมีแต่พยานแวดล้อมเริ่มตั้งแต่นำสืบว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน ในวันเกิดเหตุมีผู้พบเห็นจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ไปกับผู้ตายในเส้นทางไปบ้านจำเลยที่ 1 ตกกลางคืนมีเสียงผู้ตายร้องขอความช่วยเหลือมาจากทางบ้านจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนได้ตรวจพบวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้ามจำนวน 1 เล่ม ก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้นแผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัว ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1วัตถุพยานทุกชิ้นมีคราบโลหิตหมู่บี ซึ่งเป็นหมู่โลหิตเดียวกับผู้ตาย โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ หลังจากเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เขียนข้อความในกระดาษสั่งให้นายสินธุให้การต่อพนักงานสอบสวนบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าผู้ตายไม่ได้ไปกับจำเลยที่ 1 เป็นลักษณะป้องกันตัว นอกจากนี้พนักงานสอบสวนผู้ไปตรวจที่พบศพและแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพต่างก็ไม่เชื่อว่าผู้ตายจะประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนยต์ล้มเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายเพราะขัดต่อหลักฐานในที่พบศพและลักษณะของบาดแผล
++ พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีเชื่อได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ของผู้ตายไปบ้านจำเลยที่ 1 ผู้ตายถูกทำร้ายจากบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วถูกนำมาทิ้งไว้ในร่องน้ำจนถึงแก่ความตายเพื่อเป็นการอำพรางคดี
++ จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำร้ายผู้ตายและจากบาดแผลของผู้ตายที่ถูกตีอย่างแรงจนกะโหลกศีรษะยุบแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายจะไม่ถึงแก่ความตายในทันที แต่การที่ผู้ตายจมน้ำตายก็เป็นผลโดยตรงและต่อเนื่องจากการทำร้าย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
++ แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดอาจเกิดขึ้นในทันทีเพราะจำเลยที่ 1 และผู้ตายดื่มสุรากันแล้วพากันไปบ้านของจำเลยที่ 1อาวุธที่ใช้ทำร้ายผู้ตายก็มีแต่เพีงจอบเท่านั้น หากจำเลยที่ 1 วางแผนจะฆ่าผู้ตายมาก่อนน่าจะต้องใช้อาวุธที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจะฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ถนัดนัก จำเลยที่ 1 อาจคิดฆ่าผู้ตายในขณะที่พูดคุยกันที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในตอนหลังก็เป็นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ++
++
++ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังในเบื้องต้นได้ว่าเป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ก่อนเกิดเหตุจะเคยไปขอซื้อยาสลบจากโรงพยาบาลให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ซื้อไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 ได้แนะนำนายสินธุให้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุมีนายสินธุอยู่กับผู้ตายสองคนเท่านั้น และแยกกับผู้ตายบริเวณสะพานน้ำพื้ คุยกับผู้ตายเกี่ยวกับเรื่องกีฬาไม่ได้ดื่มสุรา อันเป็นลักษณะช่วยเหลือกันตัวจำเลยที่ 1 ให้ออกไปไม่ให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยไม่มีเหตุผลเป็นพิรุธเหมือนหนึ่งตนมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยเท่านั้น เพราะไม่ปรากฏว่ามีพยานผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ตาย
++ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ++

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9558/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาเตรียมอาวุธและร่วมกันไปก่อเหตุ ถือเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แม้ไม่ได้ลงมือยิงเอง
จำเลยที่ 2 กับพวกเตรียมอาวุธปืนพกให้จำเลยที่ 1 พาติดตัวไปแล้วเดินทางไปที่เกิดเหตุด้วยกันโดยเจตนาจะไปวิวาทกับผู้เสียหายกับพวก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาใช้อาวุธปืนนั้นในการวิวาทเมื่อพวกของจำเลยทั้งสองเข้าชกต่อยกับผู้เสียหายและพวก จำเลยที่ 2ก็ยืนอยู่กับจำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนพกที่เตรียมมายิงผู้เสียหายกับพวกก็อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2ยังหลบหนีไปกับจำเลยที่ 1 และพวก แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ร่วมชกต่อยและใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวก แต่จำเลยที่ 2 อยู่ในที่เกิดเหตุใกล้ชิดเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้ ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวก มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตด้วย
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนพกที่ใช้กระทำผิดมาเป็นของกลาง โจทก์คงนำสืบแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนอาวุธปืนให้มีและใช้อาวุธปืนขนาดใดเลย เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าอาวุธปืนพกที่ใช้กระทำผิดเป็นอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายหรือไม่ จึงต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคสามเท่านั้น และเมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดฐานนี้ จึงเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8046/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยถูกบังคับข่มขู่ และการลดโทษจากเหตุพิเศษ
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นและคำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยเป็นเพียงพยานบอกเล่าก็ตาม แต่ในข้อที่จำเลยให้การว่าอย่างไร ตลอดถึงการนำชี้ที่เกิดเหตุและการนำไปเอามีดของกลางที่ใช้แทงผู้ตายนั้น เจ้าพนักงานตำรวจเป็นพยานรู้เห็นโดยตรง
ปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำผิดเพราะความจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้หรือไม่นั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่เมื่อคดีมีเหตุที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225
จำเลยและ บ. สามีอยู่ด้วยกันเพียงสองคนในบ้านพัก จำเลยเป็นหญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าจึงอาจถูก บ. ข่มเหงเอาได้ตลอดเวลา ทั้งจำเลย เป็นชู้กับผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่ บ. อาจฆ่าจำเลยเสียได้จริง และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจ พาจำเลยมาถึงที่เกิดเหตุจำเลยร้องไห้และเล่าถึงเหตุที่ บ. บังคับให้นัด ผู้ตายมาพบเพื่อฆ่า หากไม่นัดจะฆ่าจำเลยและผู้ตายทั้งสองคนให้ฟัง ทั้งผู้ตายยอมทำตามที่จำเลยชักชวนโดยไม่ระแวงสงสัย ชี้ให้เห็นว่า จำเลยร่วมฆ่าผู้ตายเพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจของ บ. ซึ่งไม่สามารถ หลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ แต่การที่จำเลยถึงกับยอมร่วมมือกับ บ. ฆ่าผู้ตาย ถือได้ว่าได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใด ก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67(1),69 แต่เมื่อผู้ตายเองก็มี ส่วนก่อเหตุอยู่ด้วยโดยมาติดพันจำเลยจนได้เสียเป็นชู้กันทั้งที่รู้อยู่ว่า จำเลยมีครอบครัวอยู่แล้ว จึงสมควรกำหนดโทษจำเลยให้เหมาะสมกับความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5368/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาอาญา: การพิจารณาโทษฐานฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่า และการลดโทษจากคำรับสารภาพ
ความผิดฐานมีและพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้เป็นไม่ลดโทษให้จำเลยทุกข้อหา จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกพบผู้ตายและผู้เสียหายโดยบังเอิญที่ปั๊มน้ำมัน โดยต่าง ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และขณะเติมน้ำมันรถไม่ปรากฏว่าจำเลย กับพวกเกิดทะเลาะโต้เถียงกับผู้ตายและผู้เสียหายแต่อย่างใด แม้จำเลยจะให้การว่าเมื่อจำเลย ถามพวกว่าจะเอาอย่างไร จะยิงยางแล้วจี้ใช่ไหม พวกบอกว่าให้ยิงคนขับทิ้งก็เป็นการตกลง เพื่อความสะดวกในการจะชิงทรัพย์ อันเป็นการมุ่งกระทำต่อทรัพย์นั้นเอง พฤติการณ์ตาม รูปคดียังไม่หนักแน่นมั่นคงพอจะฟังว่า จำเลยกับพวกฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลฎีกาให้ยกเอาคำให้การของจำเลยดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดี ถือว่าคำให้การของจำเลยนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดให้ และให้มีผลถึงความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งต้องห้าม มิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาหลักฐานพยานและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับแสงสว่างในที่เกิดเหตุเพื่อพิสูจน์ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
ตามปกติบุคคลธรรมดาทั่ว ๆ ไปในเวลากลางคืนเมื่อเดินไป ตามถนนย่อมจะไม่มองดูว่าที่ถนนมีไฟฟ้าติดตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง จำนวนกี่ดวง เป็นหลอดไฟฟ้าลักษณะใดบ้าง เมื่อบันทึกการตรวจ สถานที่เกิดเหตุซึ่งร้อยตำรวจตรี ส. จดบันทึกไว้ทันทีในคืนเกิดเหตุระบุถึงลักษณะและสภาพของไฟฟ้าส่องสว่างว่ามีไฟฟ้าส่องสว่างบริเวณที่เกิดเหตุและมาเบิกความประกอบบันทึกดังกล่าวยืนยันว่ามีแสงสว่างสามารถมองเห็นกันได้ในบริเวณดังกล่าวในระยะห่าง 10 เมตร ย่อมฟังได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงส่องสว่างสามารถมองเห็นกันได้ในระยะ 10 เมตร และเมื่อพยานโจทก์เบิกความตรงกันว่าจำเลยเป็น คนยิงผู้เสียหายโดยมีสิ่งช่วยจำเป็นพิเศษคือจำเลยสวมหมวกแก๊ปผ้าสีพรางทั้งในขณะนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์และขณะใช้อาวุธปืน ยิงผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิง ผู้เสียหาย แม้บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุจะลงวันที่ซึ่งเป็นวันที่ ก่อนเกิดเหตุ 7 วันก็ตาม แต่ข้อความในบันทึกดังกล่าวระบุวันเวลา ที่เกิดเหตุและร่องรอยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุได้ถูกต้องตรงตามประเด็นแห่งคดี เหตุที่บันทึกดังกล่าวลงวันที่ก่อนเกิดเหตุ นั้นอาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่พิมพ์วันที่ผิดพลาด ไม่เป็นเหตุ ให้ข้อความในเอกสารเป็นพิรุธหรือไม่น่าเชื่อถือ บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6255/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและมีวัตถุระเบิด ศาลฎีกาแก้ไขการลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองและใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวไปกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ถือว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสาม และเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว แต่มีความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสามซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
of 35