พบผลลัพธ์ทั้งหมด 36 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1435/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดยื่นคำให้การ-การฟ้องแทนผู้อื่น: ศาลไม่รับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การช้า และจำกัดขอบเขตการแก้ไขโฉนดเฉพาะผู้ฟ้อง
ในกรณีที่ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้นัดสืบพยานโจทก์เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยมาศาลแต่มิได้แจ้งให้ศาลทราบถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การ กลับแถลงยอมรับข้อเท็จจริงบางประการต่อศาลจนศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษา เช่นนี้ จำเลยจะมายื่นคำร้องในวันนัดฟังคำพิพากษาว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การขออนุญาต ยื่นคำให้การอีกหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคแรก ซึ่งกำหนดให้จำเลยแจ้งถึงเหตุที่มิได้ยื่นคำให้การ ให้ศาลทราบก่อนหรือในวันสืบพยานขณะเมื่อเริ่มต้นสืบพยาน
โจทก์กับบุคคลอื่นอีก 6 คนเป็นเจ้าของรวมในที่ดินมีน.ส.3 แปลงพิพาท จ.เจ้าของรวมคนหนึ่งไปขอออกโฉนดใส่ชื่อ จ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวแล้วโอนขายให้จำเลย โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ไปทำนิติกรรมแก้ไขเปลี่ยนแปลงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดโดยให้ใส่ชื่อโจทก์และเจ้าของรวมคนอื่นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ด้วย ดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อเจ้าของรวมคนอื่นมิได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีด้วยไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้แทนหรือได้รับมอบอำนาจจากบุคคลเหล่านั้น
โจทก์กับบุคคลอื่นอีก 6 คนเป็นเจ้าของรวมในที่ดินมีน.ส.3 แปลงพิพาท จ.เจ้าของรวมคนหนึ่งไปขอออกโฉนดใส่ชื่อ จ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวแล้วโอนขายให้จำเลย โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ไปทำนิติกรรมแก้ไขเปลี่ยนแปลงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดโดยให้ใส่ชื่อโจทก์และเจ้าของรวมคนอื่นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ด้วย ดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อเจ้าของรวมคนอื่นมิได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีด้วยไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้แทนหรือได้รับมอบอำนาจจากบุคคลเหล่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงท้าทายสืบพยานจำกัดขอบเขต ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะจากพยานที่ตกลงกันไว้
คดีที่คู่ความตกลงท้ากันให้สืบพยาน 2 ปากถือเป็นข้อแพ้ชนะ โดยให้ศาลวินิจฉัยจากพยาน 2 ปากนี้ว่าเป็นจริงดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ถ้าได้ความทางวินิจฉัยของศาลว่าจริง จำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่ได้ความดังกล่าว โจทก์ยอมแพ้ ดังนี้ เมื่อพยาน 2 ปากให้การสมฝ่ายโจทก์ จำเลยจะขอให้นำเอกสารอื่นมาวินิจฉัยหักล้างมิได้ เพราะเป็นพยานนอกเหนือจากที่ตกลงกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง: หลักการจำกัดเฉพาะคู่ความเดิม
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เฉพาะคู่ความในคดีเดิมเท่านั้น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้นนั้นเป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยฝ่ายเดียวจะนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา442 ประกอบด้วย มาตรา 223 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าเสียหายหาได้ไม่
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้นนั้นเป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยฝ่ายเดียวจะนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา442 ประกอบด้วย มาตรา 223 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าเสียหายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 40/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานี้เกี่ยวกับการฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้และการพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามศาลชั้นต้นในประเด็นฉ้อโกงและจำกัดขอบเขตการชดใช้ค่าเสียหาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 นั้นเมื่อกรณีเป็นการฉ้อโกงเอาหนังสือสัญญากู้ไป ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปก็คือหนังสือกู้ พนักงานอัยการคงเรียกคืนได้แต่ตัวหนังสือสัญญาเท่านั้น จะขอมาด้วยว่า ถ้าหากจำเลยส่งสัญญาไม่ได้ให้ใช้เงินอันเป็นหนี้ตามสัญญาแทนนั้น หาได้ไม่ เพราะไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินที่มีราคาตามหนี้ในสัญญากู้ แม้หนังสือสัญญากู้สูญหายไปก็ยังฟ้องร้องเรียกหนี้กันได้มิใช่ว่าหนี้นั้นจะพลอยสูญไปด้วย หนี้ตามสัญญากู้มีอย่างไร ผู้เสียหายชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งอีกต่างหาก
เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลเป็นการพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในส่วนอาญาที่ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้คงพิพากษาแก้แต่เพียงว่า โจทก์จะขอเข้ามาในคดีนี้ว่า ถ้าจำเลยคืนสัญญากู้ไม่ได้ ให้จำเลยใช้เงินแทนไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องดำเนินเป็นคดีแพ่งขึ้นใหม่อีกสำนวนหนึ่ง เช่นนี้ จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงในปัญหาเรื่องฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้เงินหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 เพราะศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้เงินผู้เสียหาย ฯลฯ เอาโฉนดที่ดิน 5 โฉนดมอบให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นประกันฯลฯ ต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2498 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะโอนโฉนดให้ผู้เสียหาย ฯลฯ แล้วเพทุบายขอรับโฉนดไปจากผู้เสียหายว่าจะเอาไปทำการโอนให้ตามข้อตกลงแต่จำเลยโอนให้เพียง 2 โฉนด ฯลฯ กับต่อมาวันที่3-4 ตุลาคม 2498 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่า จำเลยได้โอนโฉนดให้เรียบร้อยแล้วรอแต่วันรับโฉนดเท่านั้นผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องยึดหนังสือสัญญากู้ไว้ ผู้เสียหายหลงเชื่อได้มอบหนังสือสัญญากู้ให้จำเลยไป ทั้งนี้ ตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ส่งโฉนดและรับไปแล้วได้ฉ้อโกงเอาไว้ และมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งหนังสือสัญญากู้ ฯลฯดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโฉนดที่โจทก์หาว่าจำเลยฉ้อโกงนั้นไม่ได้อยู่กับผู้เสียหาย ก็ยังอาจฟังว่าจำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยได้ขอให้หอทะเบียนโอนโฉนดเหล่านั้นให้แล้ว ผู้เสียหายจึงคืนสัญญากู้ให้จำเลยไป เพราะเป็นคนละเหตุทั้งข้อหาว่าจำเลยฉ้อโกงโฉนดและข้อหาฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้ต่างกรรมต่างวาระกัน แยกได้เป็น 2 กระทง(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2507)
(หมายเหตุ (1) จำเลยขอให้รับรองฎีกาข้อเท็จจริง แต่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามจึงไม่รับรองให้และสั่งรับฎีกาจำเลยแต่ศาลฎีกาเห็นว่าเฉพาะฎีกาข้อเท็จจริงข้อหาฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้และข้อหาปลอมหนังสือต้องห้าม จึงไม่วินิจฉัยให้
(2) ที่ประชุมใหญ่ได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิดฐานปลอมหนังสือไว้ด้วยแต่ปรากฏว่าฎีกาจำเลยข้อนี้เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามจึงไม่ปรากฏข้อวินิจฉัยตามมติดังกล่าวในคำพิพากษา)
เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลเป็นการพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในส่วนอาญาที่ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้คงพิพากษาแก้แต่เพียงว่า โจทก์จะขอเข้ามาในคดีนี้ว่า ถ้าจำเลยคืนสัญญากู้ไม่ได้ ให้จำเลยใช้เงินแทนไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องดำเนินเป็นคดีแพ่งขึ้นใหม่อีกสำนวนหนึ่ง เช่นนี้ จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงในปัญหาเรื่องฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้เงินหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 เพราะศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้เงินผู้เสียหาย ฯลฯ เอาโฉนดที่ดิน 5 โฉนดมอบให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นประกันฯลฯ ต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2498 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะโอนโฉนดให้ผู้เสียหาย ฯลฯ แล้วเพทุบายขอรับโฉนดไปจากผู้เสียหายว่าจะเอาไปทำการโอนให้ตามข้อตกลงแต่จำเลยโอนให้เพียง 2 โฉนด ฯลฯ กับต่อมาวันที่3-4 ตุลาคม 2498 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่า จำเลยได้โอนโฉนดให้เรียบร้อยแล้วรอแต่วันรับโฉนดเท่านั้นผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องยึดหนังสือสัญญากู้ไว้ ผู้เสียหายหลงเชื่อได้มอบหนังสือสัญญากู้ให้จำเลยไป ทั้งนี้ ตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ส่งโฉนดและรับไปแล้วได้ฉ้อโกงเอาไว้ และมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งหนังสือสัญญากู้ ฯลฯดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโฉนดที่โจทก์หาว่าจำเลยฉ้อโกงนั้นไม่ได้อยู่กับผู้เสียหาย ก็ยังอาจฟังว่าจำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยได้ขอให้หอทะเบียนโอนโฉนดเหล่านั้นให้แล้ว ผู้เสียหายจึงคืนสัญญากู้ให้จำเลยไป เพราะเป็นคนละเหตุทั้งข้อหาว่าจำเลยฉ้อโกงโฉนดและข้อหาฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้ต่างกรรมต่างวาระกัน แยกได้เป็น 2 กระทง(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2507)
(หมายเหตุ (1) จำเลยขอให้รับรองฎีกาข้อเท็จจริง แต่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามจึงไม่รับรองให้และสั่งรับฎีกาจำเลยแต่ศาลฎีกาเห็นว่าเฉพาะฎีกาข้อเท็จจริงข้อหาฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้และข้อหาปลอมหนังสือต้องห้าม จึงไม่วินิจฉัยให้
(2) ที่ประชุมใหญ่ได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิดฐานปลอมหนังสือไว้ด้วยแต่ปรากฏว่าฎีกาจำเลยข้อนี้เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามจึงไม่ปรากฏข้อวินิจฉัยตามมติดังกล่าวในคำพิพากษา)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 72/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งกัน มิสามารถนำสืบได้ หากไม่จำกัดขอบเขตการสืบพยาน
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าแชร์เปียหวยจากจำเลย จำเลยให้การว่ามิได้เล่นแชร์กับโจทก์ ถ้าหากปรากฎว่าจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์ จำเลยก็ได้จ่ายเงินให้โจทก์ไปหมดแล้ว ดังนี้ เป็นคำให้การที่ขัดกัน ไม่ประกอบชอบด้วยเหตุผลที่จำเลยจะนำสืบตามคำให้การของจำเลย ๆ มิได้แถลงต่อศาลว่าจะสืบแต่เฉพาะทางใดทางหนึ่ง แน่ หากแต่จะสืบทั้งสองทางเช่นนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะให้จำเลยสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1559/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการพิจารณาคดีตามข้อตกลงร่วม: ศาลต้องพิจารณาเฉพาะประเด็นที่คู่ความตกลงเท่านั้น
คู่ความตกลงกันในชั้นชี้สองสถานว่ามีประเด็นข้อเดียวดั่งนี้ ศาลพิจารณาพิพากษาคดีไปในเฉพาะประเด็นที่คู่ความตกลงกันไว้เท่านั้น ศาลย่อมไม่พิจารณาถึงประเด็นอื่น ซึ่งถึงแม้จะปรากฎอยู่ในคำคู่ความก็ตาม เพราะคู่ความตกลงกันแล้วว่าประเด็นอื่นนั้นเป็นอันไม่โต้เถียงกัน.
(เทียบฎีกาที่ 488/2480,ฎีกาที่ 1012/2498)
(เทียบฎีกาที่ 488/2480,ฎีกาที่ 1012/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงประเด็นข้อเท็จจริงจำกัดขอบเขตการวินิจฉัย ศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นนอกข้อตกลง
การที่ "คู่ความตกลงกันสืบข้อเท็จจริงในประเด็นเพียงข้อเดียวว่าโจทก์ได้ชำระเงินค่าไถ่ถอนที่พิพาทให้แก่นายหมาบิดาจำเลยแล้วหรือยังถ้าฟังข้อเท็จจริงว่าชำระแล้วให้โจทก์ชนะคดี ถ้ายังไม่ชำระให้ยกฟ้อง"ดังนี้ก็มีข้อที่พึงวินิจฉัยเฉพาะข้อที่ตกลงกันไว้เพียงข้อเดียวเท่านั้น
ส่วนข้อที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทราบว่าโจทก์รบกวนสิทธิตั้งแต่เดือนกันยายน 2495 แล้วเพิกเฉยไม่จัดการฟ้องร้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนภายใน 1 ปี จำเลยย่อมขาดสิทธิในที่พิพาทนั้น เป็นเรื่องที่จะฟังข้อเท็จจริงว่าอย่างไร หาใช่เป็นข้อกฎหมายดังโจทก์อ้างไม่ และเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ตกลงกันไว้ ศาลไม่จำต้องวินิจฉัย
ส่วนข้อที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทราบว่าโจทก์รบกวนสิทธิตั้งแต่เดือนกันยายน 2495 แล้วเพิกเฉยไม่จัดการฟ้องร้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนภายใน 1 ปี จำเลยย่อมขาดสิทธิในที่พิพาทนั้น เป็นเรื่องที่จะฟังข้อเท็จจริงว่าอย่างไร หาใช่เป็นข้อกฎหมายดังโจทก์อ้างไม่ และเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ตกลงกันไว้ ศาลไม่จำต้องวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกประเด็นฟ้อง ศาลต้องพิจารณาเฉพาะประเด็นที่โจทก์ขอให้วินิจฉัยเท่านั้น
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยละเมิดเข้ามาตัดฟันต้นสาคูและใบจากในที่ดินของโจทก์ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ และเรียกค่าเสียหาย ทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จะมีกรรมสิทธิไม่ได้ดังนั้นศาลจะวินิจฉัยว่าต้นสาคูที่ปลูกอยู่ทางฝั่งใต้ของที่พิพาทเป็นของโจทก์และฝั่งเหนือเป็นของจำเลยแล้วพิพากษาห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เข้าไปเกี่ยวข้องทางฝั่งใต้จึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น เพราะโจทก์มิได้มีคำขอเช่นนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1326/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการต่อสู้คดีจำกัดเฉพาะการฉ้อฉล ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่จำเลยต่อสู้เท่านั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยฉ้อฉลหลอกลวงให้ถอนชื่อโจทก์และสามีออกจากโฉนดแล้วลงชื่อจำเลย จึงขอให้ศาลถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดคืนที่ดินแก่โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่มีกลฉ้อฉลเท่านั้น จึงไม่มีประเด็นเรื่องการบอกล้างโมฆียะกรรมหรือไม่ และการบอกล้างโมฆียะกรรมหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังมาตรา 142(5)ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอนุญาตให้ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
กำหนดเวลาบอกล้างโมฆียะกรรม ไม่ใช่อายุความฟ้องร้อง
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่มีกลฉ้อฉลเท่านั้น จึงไม่มีประเด็นเรื่องการบอกล้างโมฆียะกรรมหรือไม่ และการบอกล้างโมฆียะกรรมหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังมาตรา 142(5)ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอนุญาตให้ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
กำหนดเวลาบอกล้างโมฆียะกรรม ไม่ใช่อายุความฟ้องร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องคดี การชี้ขอบเขตที่ดินพิพาท ศาลจำกัดเฉพาะที่ดินที่ระบุในฟ้อง
โจทก์ฟ้องตั้งพิพาทแต่เฉพาะที่ดินเนื้อที่ ประมาณ 10 ตารางวาเท่านั้นแม้คำขอท้ายฟ้องจะขอห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ก็ย่อมต้องหมายว่าที่ดินของโจทก์ที่พิพาทกันนั้นเท่านั้น
ในการรังวัดทำแผนที่พิพาทโจทก์จะเที่ยวนำชี้ที่ดินตอนอื่นนอกเหนือไปจากที่ดินพิพาทอย่างไรนั้นหาทำให้เป็นการแก้ฟ้องให้คลุมไปถึงที่ดินอื่นไม่
ในการรังวัดทำแผนที่พิพาทโจทก์จะเที่ยวนำชี้ที่ดินตอนอื่นนอกเหนือไปจากที่ดินพิพาทอย่างไรนั้นหาทำให้เป็นการแก้ฟ้องให้คลุมไปถึงที่ดินอื่นไม่