พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องอาญา: การระบุช่วงเวลากระทำผิดที่ไม่จำเป็นต้องระบุวันเวลาที่แน่นอน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2528 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองถั่วแขกจำนวน 15 กระสอบ หนัก 1,776 กิโลกรัม ราคา 10,000 บาท ของผู้เสียหายไว้ ต่อมาระหว่างวันที่ 2 มกราคม 2528 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2528 เวลากลางวันและกลางคืน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองร่วมกันเบียดบังถั่วแขกดังกล่าวเป็นของตน ฟ้องของโจทก์มีข้อความชัดเจนพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเบียดบังยักยอกถั่วแขกของผู้เสียหายไปในระหว่างเวลาดังกล่าวฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องอาญา: การระบุช่วงเวลาเบียดบังทรัพย์สินไม่ถือว่าฟ้องไม่ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2528 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองถั่วแขกจำนวน 15 กระสอบหนัก 1,776 กิโลกรัม ราคา 10,000 บาท ของผู้เสียหายไว้ ต่อมาระหว่างวันที่ 2 มกราคม 2528 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2528 เวลากลางวันและกลางคืน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองร่วมกันเบียดบังถั่วแขกดังกล่าวเป็นของตน ฟ้องของโจทก์มีข้อความชัดเจนพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเบียดบังยักยอกถั่วแขกของผู้เสียหายไปในระหว่างเวลาดังกล่าว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันฆ่าโดยมีพยานหลักฐานยืนยันช่วงเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ทำให้ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด
จำเลยทั้งสองเข้าไปพักในห้องเกิดเหตุกับผู้ตายเวลาประมาณ1 น. ออกจากห้องไปเวลาประมาณ 11 น. พบศพผู้ตายเวลาประมาณ13 น.เศษ แพทย์ทำการผ่าศพตรวจพิสูจน์เมื่อเวลา 18.40 น.สันนิษฐานว่าผู้ตาย ตายมาแล้วอย่างน้อย 12 ชั่วโมง อย่างมากไม่เกิน 15 ชั่วโมง ฉะนั้นเวลาที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นช่วงเวลาระหว่าง 4 ถึง 7 น. ของวันเดียวกันอันเป็นเวลาที่จำเลยทั้งสองยังมิได้ออกไปจากห้องที่เกิดเหตุ ไม่มีเหตุทำให้คิดได้ว่าจะมีผู้อื่นใดฆ่าผู้ตายพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีบ่งชี้อย่างใกล้ชิดว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันฆ่าผู้ตาย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 398/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย: การพิจารณาช่วงเวลาและเจตนาเพื่อประโยชน์เจ้าหนี้
คำร้องของผู้ร้องได้บรรยายว่า จำเลยได้โอนขายที่ดินและตึกแถวให้แก่ผู้คัดค้านในระหว่างระยะเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าว ดังนี้ เป็นคำร้องที่บรรยายแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอเข้าใจได้แล้ว เพราะที่ผู้ร้องบรรยายว่า 'ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย' มีความหมายว่าวันที่มีการขอให้ล้มละลายคือวันที่โจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลายนั่นเองคำร้องของผู้ร้องจึงไม่เคลือบคลุม.
คำว่า 'ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย' ตาม พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 115 หมายถึงก่อนวันที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย หาใช่ก่อนวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานให้ศาลทราบถึงผลการประชุมเจ้าหนี้เพื่อศาลพิพากษาให้ลูกหนี้หรือจำเลยล้มละลายตามมาตรา 61 ไม่ เมื่อจำเลยโอนทรัพย์สินเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2523 นับถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลาย จึงอยู่ในระยะเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย ซึ่งอาจมีการร้องขอให้เพิกถอนการโอนนั้นได้
การซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง ทันทีที่คู่กรณีตกลงทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนังงานเจ้าหน้าที่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีหนี้จะต้องปฏิบัติต่อกัน ผู้คัดค้านในฐานะผู้ซื้อมีหน้าที่จะต้องชำระราคาแก่จำเลยผู้ขาย และจำเลยมีหนี้ที่จะต้องชำระคือโอนทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายนั้นแก่ผู้คัดค้าน ฉะนั้นผู้คัดค้านจึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ตามความหมายของพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 115
ผู้คัดค้านได้รับโอนทรัพย์สินพิพาทจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านจึงเป็นคู่สัญญากับลูกหนี้โดยตรงมิใช่บุคคลภายนอกตามมาตรา 116 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้โอนขายทรัพย์พิพาทให้ผู้คัดค้าน ในระหว่างระยะเวลา 3 เดือน ก่อนมีการฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย และจำเลยกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้รายอื่นของจำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอนให้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้คัดค้านได้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนหรือไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำว่า 'ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย' ตาม พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 115 หมายถึงก่อนวันที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย หาใช่ก่อนวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานให้ศาลทราบถึงผลการประชุมเจ้าหนี้เพื่อศาลพิพากษาให้ลูกหนี้หรือจำเลยล้มละลายตามมาตรา 61 ไม่ เมื่อจำเลยโอนทรัพย์สินเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2523 นับถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลาย จึงอยู่ในระยะเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย ซึ่งอาจมีการร้องขอให้เพิกถอนการโอนนั้นได้
การซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง ทันทีที่คู่กรณีตกลงทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนังงานเจ้าหน้าที่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีหนี้จะต้องปฏิบัติต่อกัน ผู้คัดค้านในฐานะผู้ซื้อมีหน้าที่จะต้องชำระราคาแก่จำเลยผู้ขาย และจำเลยมีหนี้ที่จะต้องชำระคือโอนทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายนั้นแก่ผู้คัดค้าน ฉะนั้นผู้คัดค้านจึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ตามความหมายของพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 115
ผู้คัดค้านได้รับโอนทรัพย์สินพิพาทจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านจึงเป็นคู่สัญญากับลูกหนี้โดยตรงมิใช่บุคคลภายนอกตามมาตรา 116 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้โอนขายทรัพย์พิพาทให้ผู้คัดค้าน ในระหว่างระยะเวลา 3 เดือน ก่อนมีการฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย และจำเลยกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้รายอื่นของจำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอนให้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้คัดค้านได้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนหรือไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2492/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างพนักงานโดยอาศัยระเบียบข้อบังคับบริษัท การบังคับใช้ระเบียบที่แตกต่างกันตามช่วงเวลา และการประเมินความเสียหาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยอำนาจตามระเบียบของจำเลยเนื่องจากโจทก์ขับรถจำเลยชนกับรถผู้อื่น โจทก์เห็นว่าคำสั่งและระเบียบของจำเลยดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการเลิกจ้าง โดยไม่เป็นธรรมจำเลยให้การต่อสู้ว่าระเบียบและคำสั่งของจำเลยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และชอบด้วยกฎหมายแล้ว เป็นการเลิกจ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นจึงมีว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่
โจทก์ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุก่อนที่ระเบียบฉบับใหม่ของจำเลยจะใช้บังคับระเบียบฉบับใหม่จึงไม่มีผลบังคับสำหรับกรณีโจทก์ คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าระเบียบฉบับใหม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ กรณีต้องบังคับตามระเบียบฉบับเดิมซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและใช้บังคับในขณะเกิดอุบัติเหตุ เมื่อได้ความว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งระเบียบฉบับเดิมระบุโทษให้ไล่ออกฉะนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าระเบียบของจำเลยฉบับใหม่ไม่มีผลบังคับในกรณีของโจทก์การกระทำของโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์อุทธรณ์ในข้อที่มิได้อ้างมาในฟ้อง จึงมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุก่อนที่ระเบียบฉบับใหม่ของจำเลยจะใช้บังคับระเบียบฉบับใหม่จึงไม่มีผลบังคับสำหรับกรณีโจทก์ คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าระเบียบฉบับใหม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ กรณีต้องบังคับตามระเบียบฉบับเดิมซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและใช้บังคับในขณะเกิดอุบัติเหตุ เมื่อได้ความว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งระเบียบฉบับเดิมระบุโทษให้ไล่ออกฉะนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าระเบียบของจำเลยฉบับใหม่ไม่มีผลบังคับในกรณีของโจทก์การกระทำของโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์อุทธรณ์ในข้อที่มิได้อ้างมาในฟ้อง จึงมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ: การพิจารณาช่วงเวลาชำระหนี้ และการไม่ถือว่าผิดนัด
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่าจำเลยยอมชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2520 เป็นต้นไปโดยผ่อนชำระเป็นงวด ๆ คือ ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2521 เป็นต้นไปถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2521 เงินต้นจ่ายเดือนละ 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ค้าง ดังนี้ แสดงว่าจำเลยยอมชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ 1 งวดทุก ๆ เดือนไป วันเริ่มต้นนับคือวันที่ 18 มกราคม 2521 วันครบกำหนด 1 เดือนในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2521 การที่จำเลยชำระหนี้งวดแรกแก่โจทก์เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2521 จึงเป็นการชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้หาเป็นการผิดนัดชำระหนี้ จนระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับได้ล่วงพ้นไปแล้วอันจะเป็นเหตุให้ศาลออกหมายบังคับคดีได้ทันทีในเมื่อโจทก์ร้องขอไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาฐานยักยอกทรัพย์ต้องระบุรายละเอียดการกระทำ ความเสียหาย และช่วงเวลาที่ชัดเจน หากไม่ชัดเจนฟ้องไม่สมบูรณ์
ฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเก็บรักษาการบัญชีรับจ่ายและรักษาเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2514เป็นเวลาถึง 1 ปี 7 เดือน จำเลยได้บังอาจยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 11,726.39 บาท ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไปปรากฏจากข้อนำสืบของโจทก์ว่า งบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์มี 5งบ คือ งบทั่วไปงบเร่งรัดพัฒนาชนบท งบส่วนการศึกษา งบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและงบอุดหนุนสภาตำบล เงินที่หายไปนี้เป็นเงินที่อยู่ในงบเร่งรัดพัฒนาชนบทและเกิดจากการที่จำเลยยักยอกเงินตามบัญชีเงินสดเกินหรือขาดไปรวม 22 รายการ แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดที่เป็นสารสำคัญว่า เป็นเงินงบใด และยักยอกแต่ละครั้ง เป็นจำนวนเท่าใดและเมื่อใด เมื่อบรรยายรวมๆกันมาเช่นนี้ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับเงินที่จำเลยต้องหาว่ายักยอกเบียดบังมิได้เลย ย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดีฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 894/2508)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมาคือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาทจากนายเสถียร ศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไปจึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมาคือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาทจากนายเสถียร ศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไปจึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสียสัญชาติไทยเนื่องจากถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว แม้ไม่มีข้อความระบุช่วงเวลา
โจทก์เกิดในประเทศไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าว เดินทางไปประเทศจีนเมื่อ พ.ศ. 2490 และกลับมาประเทศไทยเมื่อพ.ศ. 2491 แล้วไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวในปีนั้นและต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตลอดมา แม้พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 21 จะบัญญัติว่า'ผู้ซึ่งมีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าวถ้าได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวแล้ว ให้เสียสัญชาติไทย' โดยไม่มีข้อความว่า 'ไม่ว่าจะได้รับใบสำคัญประจำตัวก่อนหรือหลังวันพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ' ดังบัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 มาตรา 16 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2496 มาตรา 5 ที่ยกเลิกไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวตลอดมาจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 21 ซึ่งมีผลให้โจทก์เสียสัญชาติไทย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมมีขอบเขตใช้เฉพาะช่วงเวลาทำนาเท่านั้น ไม่ครอบคลุมตลอดทั้งปี
เมื่อเจ้าของที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ได้ใช้ทางภารจำยอมโดยใช้กระบือและล้อเกวียนผ่านไปทำนาของตนเพียงชั่วระยะเวลาไถหว่านปักดำ ปลูกข้าวแล้วไม่ได้ใช้ผ่านอีกจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวจึงใช้ผ่านไปเก็บเกี่ยวแล้วใช้เกวียนบ้าง ล้อบ้างขนข้าวจากนากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน ดังนี้ ทางอันอยู่ในที่ดินที่เป็นภารยทรัพย์ย่อมตกอยู่ในภารจำยอมเพียงชั่วระยะเวลาแห่งการทำนาตอนหนึ่งและในระยะเวลาตอนเก็บเกี่ยวและขนข้าวอีกตอนหนึ่งเท่านั้นหาใช่ตกเป็นภารจำยอมตลอดทั้งปีไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องหมิ่นประมาท: การระบุช่วงเวลาที่เกิดเหตุเพียงกว้างๆ ไม่ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม หากมีเหตุผลรองรับ
คดีหมิ่นประมาทซึ่งหาว่าจำเลยใส่ความผู้เสียหายต่อบุคคลที่สาม คำฟ้องกล่าวถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิด ว่าจำเลยกระทำผิดวันใด การสอบสวนไม่ปรากฏชัด ในระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 15 เมษายน 2513 เวลากลางวัน ดังนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม หรือทำให้จำเลยไม่อาจสู้คดีได้ถูกต้อง เพราะโจทก์ได้กล่าวแสดงเหตุผลที่ไม่ควรระบุวันกระทำผิดให้แน่ชัดไว้แล้ว และเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นสำหรับข้อกล่าวหาเช่นนี้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2515)