คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ช่วยเหลือ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 309 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บัตรโดยสารเครื่องบินเป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงต้องถูกริบ
การเดินทางออกนอกราชอาณาจักรทางเครื่องบิน ผู้เดินทางจำต้องมีบัตรโดยสารเครื่องบินสำหรับเที่ยวบนที่ตนจะเดินทางให้ถูกต้องเสียก่อนมิฉะนั้นการเดินทางดังกล่าวจะเกิดขึ้นมิได้เพราะพนักงานสายการบินจะยินยอมให้เฉพาะผู้มีบัตรโดยสารเครื่องบินเท่านั้นผ่านขึ้นเครื่องบินได้ ผู้คัดค้านมีบัตรโดยสารเครื่องบินของกลางที่ระบุชื่อผู้เดินทางคือผู้คัดค้านถูกต้องตรงกับหนังสือเดินทางที่จะช่วยให้ผู้คัดค้านสามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้สำเร็จ และหากผู้คัดค้านเดินทางถึงที่หมายก็จะได้รับผลจากการนำยาเสพติดให้โทษออกนอกราชอาณาจักร เช่นนี้ บัตรโดยสารเครื่องบินของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่ช่วยเหลือเกื้อหนุนหรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นอุปกรณ์ให้ผู้คัดค้าน สามารถรับผลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องถูกริบเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30,31
ฎีกาผู้คัดค้านที่ว่า การกระทำของผู้คัดค้านยังไม่ถึงขั้นพยายามส่งยาเสพติดออกนอกราชอาณาจักรโดยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ได้กล่าวไว้ในคำร้องคัดค้าน จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้กลับเป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3337/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ลดโทษจากความพยายามช่วยเหลือและบรรเทาผลร้าย ไม่ริบของกลาง
จำเลยให้ผู้ตายดื่มสารพิษที่บ้านพักของผู้ตาย ความผิดอาญาที่จำเลยกระทำเกิดขึ้นที่บ้านพักของผู้ตาย ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของสถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง ส่วนที่ผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาล พ. เป็นผลของการกระทำผิดความผิดอาญาได้เกิดในเขตอำนาจพนักงานสอบสวนคนใด โดยปกติให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนผู้นั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนความผิดนั้น ๆ เพื่อดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคสาม พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองมีอำนาจสอบสวน
ถ้วยกาแฟและช้อนกาแฟของกลางเป็นของใช้ประจำบ้านผู้ตายส่วนสารพิษของกลางเป็นทรัพย์สินของโรงพยาบาล ร. มิใช่ทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าทำหรือมีไว้เป็นความผิด จึงมิใช่ทรัพย์ที่ต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
จำเลยเป็นผู้นำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลและพยายามบอกความจริงให้แพทย์ผู้รักษาทราบว่าผู้ตายกินสารพิษโคลชิซินเพื่อแพทย์จะได้รักษาผู้ตายได้ถูกต้องทั้งจำเลยให้ผู้ตายรับประทานเม็ดคาร์บอนเพื่อช่วยดูดซึมสารพิษในร่างกายของผู้ตายให้หมดไป แสดงว่าจำเลยได้พยายามช่วยชีวิตผู้ตายอย่างเต็มความสามารถประกอบกับจำเลยได้ออกค่ารักษาพยาบาลผู้ตายตลอดมาโดยมุ่งหมายให้ผู้ตายรอดชีวิตอันเป็นการพยายามบรรเทาผลร้าย จึงมีเหตุอันควรปรานีลงโทษสถานเบา
จำเลยรับราชการที่โรงพยาบาล ร. ตั้งแต่ 2525 ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ 5 แสดงว่าจำเลยมีคุณงามความดีมาก่อน จำเลยกระทำผิดเนื่องจากความหึงหวงผู้ตายที่ไปมีหญิงอื่น หลังจากเกิดเหตุจำเลยพยายามบรรเทาผลร้ายอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวเป็นคนดีโดยรอการลงโทษจำคุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเรียกรับเงินเพื่อช่วยเหลือในการสอบราชการ และความผิดเจ้าพนักงาน
จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายเตรียมข้อมูลของสถานบันบริการคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง และได้รับแต่งตั้งจากอธิบดีกรมตำรวจให้เป็นกรรมการตรวจข้อสอบและรวมคะแนนในการสอบแข่งขันข้าราชการตำรวจและบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรีเพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรและกรรมการได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการจัดทำแผ่นเฉลยและคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจให้คะแนน จำเลยที่ 1 ได้ทำการตรวจกระดาษคำตอบของผู้เข้าสอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผลการตรวจข้อสอบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ปรากฏว่าไม่ตรงกับที่กองบัญชาการศึกษา กรมตำรวจ ได้แต่งตั้งกรรมการเพื่อตรวจกระดาษคำตอบของผู้สอบผ่านด้วยมือ โดยปรากฏว่ามีบุคคลสอบได้คะแนนน้อยกว่าที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจและสอบไม่ผ่านข้อเขียน พยานโจทก์มีความเห็นว่าความผิดพลาดเรื่องผลการตรวจกระดาษคำตอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์น่าจะเกิดจากการทุจริต เพราะคะแนนที่ผิดพลาดดังกล่าวได้สูงขึ้นทั้งสามคน และคะแนนสูงขึ้นอย่างมีระบบคือคะแนนสูงขึ้นอยู่ในช่วงที่สอบได้ไม่สูงหรือต่ำกว่านั้น และการผิดพลาดไม่น่าจะเกิดจากการผิดพลาดของเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เกิดจากการกระทำของบุคคลเป็นผู้กระทำโดยสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้พิมพ์คะแนนในกระดาษคำตอบและบันทึกเทปตามความต้องการไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1มาก่อน เชื่อว่าได้เบิกความและทำรายงานตามความเป็นจริง ทั้งมีพยานโจทก์อื่นเบิกความยืนยันว่าได้ส่งช่างผู้ชำนาญมาตรวจสอบบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง ก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุปรากฏว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในสภาพปกติจึงฟังได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำการตรวจข้อสอบอยู่ในสภาพใช้งานได้ตามปกติ การที่จำเลยที่ 1 คุมเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะตรวจข้อสอบอยู่เพียงผู้เดียวมีประสบการณ์และความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ ย่อมมีความสามารถที่จะแก้ไขโปรแกรมในการตรวจข้อสอบให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ จึงฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าความผิดพลาดในการตรวจให้คะแนนในกระดาษคำตอบที่ผิดพลาดเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ได้ทำการตั้งโปรแกรมสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์พิมพ์คะแนนลงในกระดาษคำตอบและบันทึกคะแนนลงเทปบันทึกข้อมูลซึ่งเป็นเอกสารราชการของกองบัญชาการศึกษา กรมตำรวจ ตามความต้องการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและมีหน้าที่ทำ และกรอกข้อความลงในเอกสารดังกล่าว ทำการแก้ไขเพิ่มเติมคะแนนลงในเอกสารดังกล่าวโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้นและการแก้ไขคะแนนดังกล่าวเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยเป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่กองบัญชาการศึกษากรมตำรวจ กรรมการตรวจข้อสอบ ผู้เข้าสอบและประชาชน การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 และ 265 การที่จำเลยที่ 1มอบกระดาษคำตอบซึ่งตรวจแล้วและเทปบันทึกข้อมูลให้แก่กรรมการตรวจข้อสอบไปดำเนินการต่อไปในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่กองบัญชาการศึกษากรมตำรวจ ผู้เข้าสอบและประชาชน จึงมีความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 265 และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กองบัญชาการศึกษา กรมตำรวจ ผู้เข้าสอบและประชาชนและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่เมื่อพยานโจทก์ทั้งสามปากไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 ทั้งไม่มีเหตุสงสัยว่าพยานจะเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 คำพยานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1823/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (มีเหตุทำร้ายร่างกาย) และช่วยเหลือตัวผู้กระทำผิด
++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา มีผู้พบศพนายอุรินทร์หาญเสือเหลือง ผู้ตายอยู่ในร่องน้ำข้างสะพาน ริมถนนจากบ้านหนองหมูไปบ้านป่าแขมใต้ ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
++
++ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
++ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบเพื่อให้เห็นสาเหตุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายเพราะว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน โดยโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ผู้ตายจะหย่ากับจำเลยที่ 2 โจทก์ร่วมทั้งสองห้ามปรามไว้เนื่องจากเห็นว่ามีบุตรด้วยกัน ผู้ตายพูดว่าเมื่อไม่หย่าก็จะร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนางจันทนา เงินวงศ์นัยครูโรงเรียนเดียวกันกับผู้ตายเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี 2536ถึงปี 2537 เคยไปบ้านจำเลยที่ 2 เพื่อจะนำมะม่วงไปให้ พบจำเลยที่ 2นั่งคลอเคลียพลอดรักอยู่กับจำเลยที่ 1 จึงทำทีออกมาเรียกว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง เมื่อเข้าไปใหม่จำเลยทั้งสองจึงแยกจากกันและได้ยินข่าวว่าจำเลยทั้งสองมีเรื่องชู้สาวกัน นายสินธุ ทนันชัย พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าทราบข่าวว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน และชาวบ้านพูดกันว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสินธุเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537มีการแข่งขันฟุตบอลที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง หลังจากเสร็จการแข่งขันแล้วเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา ได้มีการร่วมวงดื่มสุรากันข้างสนามฟุตบอลโดยมีผู้ตายร่วมด้วย เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มาร่วมดื่มสุราด้วย จากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง คนที่ร่วมวงได้ขอตัวกลับคงเหลือแต่นายสินธุกับผู้ตายและจำเลยที่ 1 อีกประมาณ 15 นาทีทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับ นายสินธุเดินมาเอารถจักรยานยนต์ของตนเองผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เดินคู่กันไปเอารถยนต์ของผู้ตายซึ่งจอดอยู่ที่โรงอาหารเมื่อนายสินธุขับรถผ่านผู้ตายตะโกนถามว่า จะไปต่อบนดอยซึ่งหมายถึงบ้านของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นายสินธุตอบว่าขอคิดดูก่อน แล้วนายสินธุขับรถมาที่ประตูหน้าโรงเรียน แวะบ้านนายฮดที่หน้าโรงเรียน ระหว่างนั้นเห็นรถผู้ตายออกมา แต่ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นคนขับรถของผู้ตายเลี้ยวขึ้นไปจอดทางขึ้นบ้านจำเลยที่ 1 ห่างจากที่นายสินธุยืนอยู่ประมาณ 80 เมตร ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.30 นาฬิกา นายสินธุคุยกับนายฮดต่ออีกประมาณ 10 นาที จึงกลับบ้าน ขณะนั้นรถของผู้ตายยังจอดอยู่ที่เดิม มีนางมาลัย ประสงค์ เบิกความว่า เป็นภิรยาของนายธานีประสงค์ ซึ่งเป็นนักการของโรงเรียนชุมชนบ้านมาง เห็นจำเลยที่ 1นั่งรถไปกับผู้ตายเพราะตอนนั้นพยานเข้าไปเก็บของ และมีนายธานีมาเบิกความสนับสนุนว่า เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ไปกับผู้ตายเพราะได้ถามจำเลยที่ 1 ว่าจะให้พยานไปส่งหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้เอารถมา จำเลยที่ 1 บอกว่า ผู้ตายจะไปส่ง มีนายสวน ขันทะบุตรเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยทางทิศเหนือของบ้านห่างจากบ้านประมาณ400 เมตร จำได้ว่าเป็นเสียงของผู้ตาย และมีนายวิน ตั๋นแก้วเบิกความสนับสนุนว่า มารับจ้างก่อสร้างห้องน้ำห้องส้วมที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนดังกล่าวในวันที่6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนและได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาเป็นเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือทางทิศเหนือบริเวณเชิงดอยประมาณ 10 นาทีและเมื่อพบศพผู้ตายแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมมีพันตำรวจโททักษ์พลเมืองดี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ6 ถึง 7 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากร้อยตำรวจเอกสนิท เหมืองอุ่น ว่ามีรถแฉลบอยู่บริเวณถนนสายบ้านหนองหมู - ป่าแขม และมีศพคนตายนอนอยู่บริเวณร่องน้ำ จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนไปที่เกิดเหตุและพันตำรวจโททักษ์ได้ติดตามไปด้วย จากการตรวจที่เกิดเหตุและประสบการณ์ที่ผ่านมา พันตำรวจโททักษ์มีความคลางแคลงใจว่าไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุโดยสังเกตบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยเบรกของรถ รถอยู่ในสภาพเกียร์ว่างไม่มีรอยครูดของถนนบริเวณที่ผู้ตายตกลงไป ระหว่างรถกับศพมีต้นไม้ขึ้นอยู่ไม่มีลักษณะผิดปกติ ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโททักษ์พันตำรวจโทสงวน เขื่อนคำ จ่าสิบตำรวจกมล วงศ์แพทย์ และนายแก้วเมืองมีทรัพย์ทองทวี ได้ไปตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบจอบ 1 เล่ม ก้อนหิน3 ถึง 4 ก้อน และบริเวณโต๊ะยาว ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1มีคราบโลหิตติดอยู่ พันตำรวจโททักษ์สั่งให้จ่าสิบตำรวจกมลเก็บหลักฐานร่องรอยคราบโลหิตที่พบและต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโทสงวนร้อยตำรวจเอกสนิท และจ่าสิบตำรวจกมลไปตรวจบ้านจำเลยที่ 1 อีกครั้งที่ห้างห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 50 เมตร พบกางเกงเก่าอยู่บนห้างมีคราบโลหิตติดอยู่เต็มไปหมดและมีรอยคราบโลหิตใหม่ประมาณ 5 วันติดอยู่บนพื้นห้างไหลหยดลงใต้ถุนห้างด้วย พันตำรวจโททักษ์ได้ส่งคราบโลหิตทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์ที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังส่งศพผู้ตายไปให้แพทย์ตรวจโดยละเอียดอีกครั้งนายแพทย์สมศักดิ์ วงไวเวช เบิกความว่า พยานจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2529 ได้รับบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขานิติเวชศาสตร์ จากแพทยสภาเมื่อปี 2534 และรับราชการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพและตรวจวัตถุพยานในคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2537 พยานได้รับถุงพลาสติกบรรจุสิ่งของเป็นคราบลักษณะเป็นผงหยาบคล้ายคราบโลหิตจำนวน 2 ถุง จากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาตามหนังสือนำส่งแจ้งว่าพบกองโลหิตอยู่ที่พื้นดินห่างจากศพผู้ตายประมาณ1 เมตร ขอทราบว่าโลหิตแห้งที่ส่งมาตรวจเป็นหมู่โลหิตของผู้ตายหรือไม่ผลการตรวจเป็นคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี ซึ่งเป็นโลหิตหมู่เดียวกับผู้ตายวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนได้ส่งศพผู้ตายมาตรวจเพื่อหาสาเหตุการตายและรายละเอียดต่าง ๆจากการตรวจศพปรากฏว่าสภาพศพเน่า ผ่านการฉีดฟอร์มาลินมาแล้วพบบาดแผลถลอกบริเวณคาง บาดแผลฟกช้ำที่เข่าซ้าย บาดแผลฟกช้ำที่บริเวณกลางทรวงอก บาดแผลฟกช้ำที่ศีรษะบาดแผลฉีกขาดบริเวณศีรษะด้านขวา ยาว 2 เซนติเมตร 3 เซนติเมตร อีกสองแผลยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ตามลำดับอยู่เหนือใบหูขวามีลักษณะเป็นกลุ่มชิดกันยังพบบาดแผลใต้แผลฉีกขาดจนกะโหลกศีรษะมีลักษณะยุบ วัดความกว้างยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร สันนิษฐานว่า ลักษณะบาดแผลทั้งหมดเกิดจากกระทบของแข็งไม่มีคมและบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาน่าจะถูกของแข็งไม่มีคมแต่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมบาดแผลที่ตรวจพบไม่เป็นสาเหตุให้ตายทันที แต่การตายน่าจะเกิดจากการจมน้ำตาย เนื่องจากตรวจพบน้ำปนเมือกในทางเดินหายใจ ซึ่งน้ำเข้าไปในทางเดินหายใจมากจะทำให้ขาดอากาศหายใจ บาดแผลที่ศพไม่น่าเกิดจากเหตุที่รถจักรยานยนต์ล้ม เนื่องจากบาดแผลบริเวณกลางทรวงอกช้ำและกระดูกส่วนดังกล่าวไม่มีการแตกหัก หากเกิดจากอุบัติเหตุรถชนกันหรือรถล้ม บาดแผลที่เกิดบริเวณทรวงอกส่วนใหญ่จะพบว่าอวัยวะบริเวณใต้ตำแหน่งนั้นจะได้รับอันตรายร่วมด้วย แต่ศพของผู้ตายไม่มี และบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาเป็นบาดแผลฉีกขาดมี 4 แผล อยู่ติดบริเวณกลุ่มเดียวกัน สันนิษฐานว่า บาดแผลทั้ง 4 แผล น่าจะเกิดจากการกระทำหลายครั้ง และต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนส่งวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้าม จำนวน 1 เล่มก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้น แผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัวมาให้ตรวจหาคราบโลหิต และหมู่โลหิตที่ติดกับของกลางดังกล่าวผลการตรวจสอบพบว่าวัตถุทุกชิ้นติดคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ และนายสินธุยังเบิกความด้วยว่า เมื่อวันที่8 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา พยานได้มาที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง ขณะที่กำลังเดินไปที่รถพบจำเลยที่ 1 กำลังจะขับรถออกจากโรงเรียน จำเลยที่ 1 ได้เรียกพยานให้ไปหายื่นกระดาษให้ 1 แผ่นบอกว่าเมื่อพนักงานสอบสวนถามให้ตอบตามข้อความในกระดาษซึ่งมีข้อความว่าออกจากโรงเรียน 2 ทุ่มกว่า อยู่กัน 2 คน กับผู้ตาย คุยกันเรื่องกีฬา ไม่ได้ทะเลาะกัน
++
++ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตาย คงมีแต่พยานแวดล้อมเริ่มตั้งแต่นำสืบว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน ในวันเกิดเหตุมีผู้พบเห็นจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ไปกับผู้ตายในเส้นทางไปบ้านจำเลยที่ 1 ตกกลางคืนมีเสียงผู้ตายร้องขอความช่วยเหลือมาจากทางบ้านจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนได้ตรวจพบวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้ามจำนวน 1 เล่ม ก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้นแผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัว ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1วัตถุพยานทุกชิ้นมีคราบโลหิตหมู่บี ซึ่งเป็นหมู่โลหิตเดียวกับผู้ตาย โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ หลังจากเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เขียนข้อความในกระดาษสั่งให้นายสินธุให้การต่อพนักงานสอบสวนบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าผู้ตายไม่ได้ไปกับจำเลยที่ 1 เป็นลักษณะป้องกันตัว นอกจากนี้พนักงานสอบสวนผู้ไปตรวจที่พบศพและแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพต่างก็ไม่เชื่อว่าผู้ตายจะประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนยต์ล้มเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายเพราะขัดต่อหลักฐานในที่พบศพและลักษณะของบาดแผล
++ พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีเชื่อได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ของผู้ตายไปบ้านจำเลยที่ 1 ผู้ตายถูกทำร้ายจากบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วถูกนำมาทิ้งไว้ในร่องน้ำจนถึงแก่ความตายเพื่อเป็นการอำพรางคดี
++ จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำร้ายผู้ตายและจากบาดแผลของผู้ตายที่ถูกตีอย่างแรงจนกะโหลกศีรษะยุบแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายจะไม่ถึงแก่ความตายในทันที แต่การที่ผู้ตายจมน้ำตายก็เป็นผลโดยตรงและต่อเนื่องจากการทำร้าย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
++ แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดอาจเกิดขึ้นในทันทีเพราะจำเลยที่ 1 และผู้ตายดื่มสุรากันแล้วพากันไปบ้านของจำเลยที่ 1อาวุธที่ใช้ทำร้ายผู้ตายก็มีแต่เพีงจอบเท่านั้น หากจำเลยที่ 1 วางแผนจะฆ่าผู้ตายมาก่อนน่าจะต้องใช้อาวุธที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจะฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ถนัดนัก จำเลยที่ 1 อาจคิดฆ่าผู้ตายในขณะที่พูดคุยกันที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในตอนหลังก็เป็นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ++
++
++ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังในเบื้องต้นได้ว่าเป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ก่อนเกิดเหตุจะเคยไปขอซื้อยาสลบจากโรงพยาบาลให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ซื้อไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 ได้แนะนำนายสินธุให้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุมีนายสินธุอยู่กับผู้ตายสองคนเท่านั้น และแยกกับผู้ตายบริเวณสะพานน้ำพื้ คุยกับผู้ตายเกี่ยวกับเรื่องกีฬาไม่ได้ดื่มสุรา อันเป็นลักษณะช่วยเหลือกันตัวจำเลยที่ 1 ให้ออกไปไม่ให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยไม่มีเหตุผลเป็นพิรุธเหมือนหนึ่งตนมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยเท่านั้น เพราะไม่ปรากฏว่ามีพยานผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ตาย
++ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ++

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1678/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาลักทรัพย์: การช่วยเหลือสืบหาคนร้ายและการกระทำเพื่อจับกุม ไม่ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ก่อนเกิดเหตุ ตัววงจรไฟฟ้าของบริษัทผู้เสียหายได้หายไปโดยไม่ทราบตัวคนร้าย จำเลยกับพวกเป็นผู้ที่ช่วยเหลือผู้เสียหายในการสืบหาตัวคนร้ายและร่วมมือในการวางแผนจับกุมคนร้ายได้ นอกจากนี้ผู้เสียหายยังโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยและผู้เสียหายออกหนังสือรับรองการผ่านงานระบุว่าจำเลยเป็นลูกจ้างที่ดีที่ทำงานหนักเสมอมาจนถึงเวลาที่ได้ลาออกจากบริษัทด้วยเหตุผลส่วนตัว ดังนี้หากจำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำผิดแล้ว ผู้เสียหายย่อมจะไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้างที่เหลืออยู่และคงจะไม่ออกหนังสือรับรองการผ่านงานให้แก่จำเลย แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการกระทำในลักษณะที่ร่วมกับคนร้ายเพื่อลักทรัพย์ แต่จำเลยมิได้มีเจตนาร้ายหรือประสงค์ต่อผลที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยโดยไม่มีเหตุผล จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลือในการวางแผนจับกุมคนร้ายที่ลักทรัพย์ของผู้เสียหายและจำเลยไม่ได้รับประโยชน์ ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1678/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์: การกระทำเพื่อช่วยเหลือจับกุมคนร้ายไม่มีเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิด
ก่อนเกิดเหตุ ตัววงจรไฟฟ้าของบริษัทผู้เสียหายได้หายไปโดยไม่ทราบตัวคนร้าย จำเลยกับพวกเป็นผู้ที่ช่วยเหลือผู้เสียหายในการสืบหาตัวคนร้ายและร่วมมือในการวางแผนจับกุมคนร้ายได้ นอกจากนี้ผู้เสียหายยังโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยและผู้เสียหายออกหนังสือรับรองการผ่านงานระบุว่าจำเลยเป็นลูกจ้างที่ดีที่ทำงานหนักเสมอมาจนถึงเวลาที่ได้ลาออกจากบริษัทด้วยเหตุผลส่วนตัว ดังนี้หากจำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำผิดแล้ว ผู้เสียหายย่อมจะไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้างที่เหลืออยู่และคงจะไม่ออกหนังสือรับรองการผ่านงานให้แก่จำเลย แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการกระทำในลักษณะที่ร่วมกับคนร้ายเพื่อลักทรัพย์ แต่จำเลยมิได้มีเจตนาร้ายหรือประสงค์ต่อผลที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยโดยไม่มีเหตุผล จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลือในการวางแผนจับกุมคนร้ายที่ลักทรัพย์ของผู้เสียหายและจำเลยไม่ได้รับประโยชน์ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมข่มขืนโทรมหญิง แม้ไม่ได้ลงมือเอง ก็มีความผิดตามกฎหมาย
แม้จำเลยจะมิได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่พฤติการณ์ที่จำเลยช่วยกันฉุดผู้เสียหายและช่วยกดคอและตบตีผู้เสียหายเพื่อให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะโทรมหญิงนั้นถือได้ว่าจำเลยได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วยกันกับพวกของจำเลยแล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 83

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขับรถโดยประมาทและการไม่ช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ จำเลยไม่มีความผิดเนื่องจากไม่พบหลักฐานการประมาทและการชน
จำเลยมิได้ขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทจนเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับ จำเลยจึงมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินในอันที่ผู้ก่อจะต้องหยุดช่วยเหลือแสดงตัว และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8746/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การช่วยเหลือคนต่างด้าวผิดกฎหมายและการจ้างงาน
ความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่งบัญญัติถึงการกระทำที่เป็นความผิดคือ ให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายเข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม คดีนี้ตามคำฟ้องข้อ (ก) โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า ช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายด้วยการให้เข้าทำงานในร้านอาหารของจำเลยเท่านั้น มิได้มีการช่วยอย่างอื่นอีก ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521ตามคำฟ้องข้อ (ข) โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า รับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงานเป็นลูกจ้างในร้านอาหารของจำเลย จะเห็นได้ว่า การที่จำเลยรับคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืนกฎหมายเข้าทำงานในร้านอาหารของจำเลยโดยคนต่างด้าวนั้นไม่มีใบอนุญาตทำงาน เป็นการกระทำที่จำเลยมีเจตนาในผลการกระทำเป็นอย่างเดียวกันคือรับคนต่างด้าวเข้าทำงาน แม้จะเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ก็เป็นการกระทำโดยเจตนาเดียวกัน จึงถือว่าเป็นกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการให้โดยเสน่หาเนื่องจากผู้รับให้ไม่ช่วยเหลือผู้ให้เมื่อยากไร้ และมีมูลเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 531
โจทก์กู้เงินจาก ร. โดยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทให้ ร. ยึดถือไว้เป็นประกัน จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนโจทก์เป็นเงิน 70,000 บาท และรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืนมา ต่อมาโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแล้วจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างราคา 500,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน เมื่อเปรียบเทียบแล้วราคาที่ดินพิพาทสูงกว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนโจทก์เมื่อ 3 ถึง 4 ปี ที่แล้วไม่น้อยกว่า 7 เท่า การที่โจทก์ให้ที่ดินพิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ในการที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทน และการที่ ร. ยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทไว้โดยไม่ได้จดทะเบียนจำนอง ไม่ใช่กรณีที่มีภาระเกี่ยวกับตัวที่ดินพิพาท การให้ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่การให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน จำเลยที่ 1 บอกปัดไม่ยอมให้เงินโจทก์ซื้อยารักษาตัวอันเป็นการบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และจำเลยที่ 1 ยังสามารถจะให้ได้ โจทก์จึงเรียกถอนคืนการให้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (3)
โจทก์จดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (3) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกถอนคืนการให้จากจำเลยที่ 1 ได้แต่เพียงผู้เดียว
of 31