พบผลลัพธ์ทั้งหมด 116 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6309/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเป็นเงิน207,000บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน57,000บาทแก่โจทก์จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกายกเหตุอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริงแม้ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ใช่ปัญหาในประเด็นที่พิพาทตามคำฟ้องและคำให้การก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณาก็ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน57,000บาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4540/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษตามกฎหมายแล้ว และโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นแล้วแก้โทษจำเลยทั้งสองโดยลดมาตราส่วนโทษให้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา75และมาตรา76เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละไม่เกิน5ปีคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากทิ้งฟ้องจำเลยบางส่วน, ทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท, และเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในฎีกาของโจทก์ทนายโจทก์ลงชื่อจะมาทราบคำสั่งศาลในวันที่23ธันวาคม2537ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่20ธันวาคม2537ดังนี้ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้นำส่งสำเนาฎีกาแก่จำเลยที่2ภายใน15วันตั้งแต่วันที่23ธันวาคม2537แล้วเมื่อโจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาสำหรับจำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)ประกอบด้วยมาตรา246,247 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1และที่2ร่วมกันชำระเงินจำนวน192,500บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยที่1อุทธรณ์โจทก์มิได้อุทธรณ์เท่ากับโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1และที่2ชำระให้โจทก์ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์คงมีจำนวน192,500บาทเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกาทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจึงมีเพียง192,500บาทซึ่งไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรกและจะนำดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จอันเป็นค่าเสียหายในอนาคตมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาเพื่อให้เกินสองแสนบาทหาได้ไม่อีกทั้งโจทก์จะฎีกาโดยถือตามทุนทรัพย์ที่ฟ้องในศาลชั้นต้นก็ไม่ได้เช่นกัน ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์มิใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกพ่วงคันพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องการที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกพ่วงคันพิพาทจึงมีอำนาจฟ้องจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอ้างเป็นฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากประเด็นฎีกาเกินขอบเขตคำฟ้องเดิม ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นใหม่ไม่ได้
โจทก์ทั้งห้าฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าอาหารค่าที่พักค่าใช้จ่ายในการติดต่อเจ้าหน้าที่ในประเทศ สิงคโปร์ และค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งห้าได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอับอายขายหน้าสูญเสียเวลานัดหมายและธุรกิจแต่โจทก์ทั้งห้าฎีกาว่าการที่จำเลยห้ามไม่ให้โจทก์ที่1ขึ้นเครื่องบินของจำเลยเดินทางไปประเทศ สหรัฐอเมริกาทำให้โจทก์ทั้งห้าจำยอมอยู่ในประเทศ สิงคโปร์ไม่สามารถเดินทางไปประเทศ สหรัฐอเมริกาตามเจตนาได้เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพจำเลยต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนในการทำให้โจทก์ทั้งห้าเสียเสรีภาพเป็นเรื่องนอกเหนือคำฟ้องแม้ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ทำให้โจทก์ทั้งห้าเสียเสรีภาพก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งห้าฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2048/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากโต้แย้งการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์เฉพาะโทษ ไม่ใช่คำพิพากษาทั้งหมด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นลงโทษจำคุกและปรับแต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้การที่โจทก์ร่วมฎีกาว่าจำเลยขับรถเร็วล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวมิใช่ต่างฝ่ายต่างขับรถเร็วและต่างล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยโจทก์ร่วมมิได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เช่นนี้ฎีกาของโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีทุนทรัพย์เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และประเด็นฟ้องเรียกค่าเสียหาย/เช่าซื้อไม่ถือว่าเป็นการอำพราง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ฟ้องเรียกราคารถที่ยังขาดอยู่และค่าขาดประโยชน์จากการที่จำเลยที่1ยังคงครอบครอบรถอยู่ในระหว่างผิดสัญญาอันเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายโจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อส่วนที่ค้างชำระแม้ค่าเสียหายกับค่าเช่าซื้อตามงวดจะมีจำนวนเงินใกล้เคียงกันก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการอำพรางเจตนาที่จะเรียกร้องค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระที่จำเลยที่1ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากโจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นการอำพรางเจตนาที่แท้จริงที่จะเรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระนั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248 จำเลยที่1อุทธรณ์ขอให้นำราคาตัวถังและดั๊มของจำเลยที่1ราคาประมาณ150,000บาทมาหักออกจากค่าเสียหายในกรณีที่จำเลยที่1จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์อีกโดยมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าที่ศาลชั้นต้นนำราคาตัวถังและดั๊มของจำเลยที่1มาหักออกจากค่าเสียหายของโจทก์นั้นไม่ถูกต้องอย่างไรบ้างเป็นการอุทธรณ์ขึ้นมาลอยๆจึงเป็นอุทธรณ์ที่ ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่1ในข้อนี้มาจึงเป็นการไม่ชอบซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่อาจวินิจฉัยให้ได้และที่ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่1ในข้อนี้มาก็ต้องถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่1มานั้นจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ในกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกราคารถที่ยังขาดอยู่ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30หาใช่มีอายุความ6เดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา563ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3594/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์พิพาทจำเลยบางส่วนไม่เกิน 2 แสนบาท และเป็นการโต้เถียงดุลพินิจพยานหลักฐาน
คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินในส่วนที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยแต่ละคนบุกรุกและเข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยมิชอบซึ่งจำเลยแต่ละคนต่างต่อสู้ว่าที่ดินส่วนนั้นๆจำเลยแต่ละคนได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยเองชั้นอุทธรณ์โจทก์และจำเลยที่1ที่2ที่3ที่5กับที่6ตีราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเนื้อที่รวม4ไร่20ตารางวาเป็นเงิน250,000บาทราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงเป็นอันยุติเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์และพยานจำเลยที่1ที่2และที่6ว่าจำเลยที่1ที่2ที่6ครอบครองที่พิพาทเฉพาะที่ดินตามน.ส.3ก.เลขที่2795ซึ่งมีเนื้อที่เพียง2ไร่โดยแบ่งกันครอบครองฉะนั้นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในส่วนของจำเลยที่1ที่2และที่6จึงไม่เกินคนละสองแสนบาทต้องห้ามมิให้จำเลยที่1ที่2และที่6ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยที่1ที่2และที่6ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าการออกน.ส.3ก.เป็นไปโดยชอบโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและจำเลยที่1ที่2และที่6ต่างเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทเกิน1ปีนั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยและรับฟังมาว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยและโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาททั้งจำเลยต่างเพิ่งบุกรุกเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม2533ตามที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3338/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย กรณีศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยเรื่องริบรถจักรยานยนต์ในคดีเยาวชน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา134,134วรรคสอง,มาตรา160ทวิประมวลกฎหมายอาญามาตรา83แต่ให้รอการกำหนดโทษและคุมประพฤติไว้ส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ริบศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวพ.ศ.2534มาตรา124ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218จำเลยทั้งสี่ฎีกาขอให้ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นการขอแก้ไขดุลพินิจของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 1 ไร่ 32 ตารางวาโจทก์ได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อขอออกโฉนดที่ดินจำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอนคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินโฉนดเลขที่ 972 ของจำเลยขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองคดีจึงมีประเด็นว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2538/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุราคาทรัพย์สินเกินสองแสนบาท และฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แม้จะมีคำขอตามฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ตามแต่ประเด็นข้อพิพาทที่แท้จริงของคดีก็คือ โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ส่วนคำขอที่ขอให้ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากประเด็นว่าสิทธิครอบครองเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสองแสนบาท จำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจให้การรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะฎีกาได้ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา