พบผลลัพธ์ทั้งหมด 80 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์ระหว่างคำพิพากษาคดีอาญาและคดีแพ่ง: การถือข้อเท็จจริงเมื่อคดีอาญาถึงที่สุด
ในการพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46ขณะที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในคดีแพ่งว่า เหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น คดีส่วนอาญายังไม่ถึงที่สุด ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องถือตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แต่เมื่อคดีส่วนอาญามาถึงที่สุดในชั้นนี้ โดยที่โจทก์ได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา แม้คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่า เหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์ระหว่างคดีอาญาและคดีแพ่ง: ผลผูกพันของคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่งเมื่อคดีอาญาถึงที่สุด
พนักงานอัยการเคยฟ้องโจทก์และจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทและคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยฝ่ายเดียวโจทก์มิได้ขับรถประมาทแต่เมื่อยังไม่ถึงที่สุดศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยจึงไม่จำต้องถือตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแต่เมื่อคดีอาญาถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์โดยโจทก์ได้ฎีกาในปัญหานี้ขึ้นมาแม้คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาว่าเหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5763/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการขายทอดตลาดหลังคดีขัดทรัพย์ถึงที่สุด ผู้ร้องหมดสิทธิเรียกร้อง
ผู้ร้องยกข้ออ้างขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์ไปหลังจากที่ได้ส่งหมายและสำเนาคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติในมาตรา 288 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีที่ร้องขัดทรัพย์นั้นศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ทั้งทรัพย์พิพาทก็ได้ขายทอดตลาดไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่อาจจะยื่นคำร้องขัดทรัพย์ใหม่ได้ ข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่าผู้ร้องได้รับความเสียหายจากการดำเนินการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยการฝ่าฝืนดังกล่าวนั้นจึงไม่มีอีกต่อไป ผู้ร้องไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น จึงไม่มีสิทธิที่จะร้องต่อศาลให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1956/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกัน: ความรับผิดเริ่มเมื่อศาลตัดสินถึงที่สุด
ข้อความในสัญญาค้ำประกันระบุว่า ผู้ร้องจะยอมรับผิดชำระหนี้แทนลูกหนี้เมื่อศาลมีคำสั่งให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ และคดีถึงที่สุดแล้วเท่านั้นเมื่อคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์อาจยืน ยก แก้ หรือกลับเสียซึ่งคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ได้ จึงยังฟังเป็นที่แน่นอนและถึงที่สุดแล้วไม่ได้ ผู้ร้องจึงยังไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้มละลาย: การไม่อนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติม, อำนาจฟ้อง, และการประเมินภาษีที่ถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมเพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวกับประเด็น จำเลยแถลงคัดค้านและอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นว่า หากศาลเปิดโอกาสให้นำพยานหลักฐานที่ระบุเพิ่มเติมเข้าสืบจะทำให้ศาลเห็นว่าการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบ เพราะราคาค่าซื้อขายไม้ที่เจ้าพนักงานประเมินนำมาคำนวณเป็นรายรับ เป็นไม้ที่จำเลยยังนำออกมาจำหน่ายไม่ได้ เนื่องจากมีคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 32/2532ห้ามเข้าทำไม้และเคลื่อนย้ายไม้โดยเด็ดขาด ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่าคำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว จำเลยฎีกาว่า หากศาลอนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติม จำเลยสามารถนำพยานเข้าสืบให้เป็นที่ประจักษ์แก่ศาลได้ว่า ทรัพย์สินของจำเลยยังมีอยู่และมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 5,000,000 บาท จำเลยจึงมิใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งเป็นเหตุผลคนละอย่างกับที่จำเลยเคยให้ไว้ในคำแถลงคัดค้านและในอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 การที่อธิบดีกรมโจทก์มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่น ๆ ในศาล มิใช่การมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนอันจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และทำเป็นคำสั่งและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่ออธิบดีกรมโจทก์ปฏิบัติถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 แล้วผู้รับมอบอำนาจชอบที่จะฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นแทนโจทก์ได้ เมื่อจำเลยได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีการค้า ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย จำเลยมิได้อุทธรณ์ การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30 การประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานจึงถึงที่สุด เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าวโจทก์ย่อมมีอำนาจบังคับเอากับจำเลยได้เช่นเดียวกับหนี้ที่เกิดจากคำพิพากษา จำเลยจะกล่าวอ้างว่าการประเมินของเจ้าพนักงานไม่ชอบอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ต้องห้ามและการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ กรณีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้ว
คดีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เพราะเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 คำร้อง ของ โจทก์ ที่ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งไม่รับอุทธรณ์นั้น เท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำร้องดังกล่าวของโจทก์อีก จึงเป็นการไม่ชอบและเมื่อเป็นกรณีเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้นโจทก์จึงฎีกาต่อมาอีกไม่ได้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4384/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีสาขาคุ้มครองประโยชน์ในที่ดินเมื่อคดีประธานถึงที่สุดแล้ว ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยชั้นขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ยังคงค้างพิจารณาอยู่ในศาลฎีกา เป็นคดีสาขาที่แตกแยกออกมาจากคดีฟ้องขับไล่อันเป็นคดีประธาน เมื่อจำเลยถูกพิพากษาให้แพ้คดีซึ่งเป็นคดีประธานและคดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์แล้วฎีกาของจำเลยซึ่งเป็นสาขาของคดีดังกล่าวถึงแม้จะพิจารณาต่อไปก็ไม่เป็น ประโยชน์หรือเป็นคุณแก่จำเลย ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย จึงสั่งให้จำหน่ายคดีของจำเลยจากสารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนอุทธรณ์คดีอาญาและการพิจารณาถึงที่สุดของคดี รวมถึงการแก้ไขหมายจำคุก
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย จำเลยอุทธรณ์ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตแล้วพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 245 จึงชอบแล้ว และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีย่อมถึงที่สุด จำเลยจะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้ เมื่อจำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดไม่ถูกต้อง ก็ชอบที่จะไปร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งแก้ไขหมายนั้นเสียก่อน เพราะหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเป็นหมายอาญามิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 และ 216
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3191/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามสัญญาประกันและการอุทธรณ์คำสั่งปรับ ศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจฎีกาได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ลดค่าปรับให้ผู้ประกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 119 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1678/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดสัญญาประกันและสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา: ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว
กรณีผู้ประกันผิดสัญญาประกันต่อศาล เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอย่างใดแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119