คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทรัพย์สินทางปัญญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 89 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7843/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีทรัพย์สินทางปัญญา จำเลยรับสารภาพ แต่คำฟ้องไม่ชัดเจน ศาลฎีกาแก้คำพิพากษา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลอมปนน้ำมันเครื่องอันเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อจำหน่ายและเพื่อให้บุคคลอื่นใช้และขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 236 นั้น ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 236 จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพด้วย แต่โจทก์มิได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงนั้นไว้ในฟ้องแต่อย่างใด ส่วนคำฟ้องที่โจทก์ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฯ มาตรา 31, 52 นั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ใช้เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตอันจะเป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าวได้ ดังนั้น แม้จำเลยรับสารภาพศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้
โจทก์บรรยายฟ้องมาเป็นข้อ 2. ก กับข้อ 2. ข แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยต่างกรรมกัน แต่โจทก์บรรยายการกระทำความผิดของจำเลยหลายข้อหารวมกันในคำฟ้องข้อเดียวกันในข้อ 2. ก ส่วนหนึ่ง และข้อ 2. ข อีกส่วนหนึ่งโดยการกระทำที่บรรยายฟ้องรวมอยู่ในแต่ละข้อหานั้น โจทก์มิได้บรรยายแยกแยะการกระทำของจำเลยให้ปรากฏชัดแจ้งพอที่จะให้เห็นได้ว่า ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 2. ก และ 2. ข ในแต่ละข้อหาเป็นแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในทุกข้อหาตามฟ้องข้อ 2. ก และ 2. ข เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนอกเหนือไปจากคำฟ้องหาได้ไม่ เพราะขัดต่อ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7843/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดบทลงโทษที่ถูกต้องตามฟ้อง และการแยกความผิดตามกรรมต่างหากในคดีทรัพย์สินทางปัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลอมปนน้ำมันเครื่องอันเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อจำหน่ายและเพื่อให้บุคคลอื่นใช้และขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236 นั้น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236 จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพด้วยแต่โจทก์มิได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงไว้ในฟ้องแต่อย่างใด ส่วนคำฟ้องที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฯ มาตรา 31,52 นั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ใช้เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตอันจะเป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าวได้ ดังนั้น แม้จำเลยรับสารภาพศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้
โจทก์บรรยายฟ้องแยกมาเป็นข้อ 2.กกับข้อ2.ข แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยต่างกรรมกัน แต่โจทก์บรรยายการกระทำความผิดของจำเลยหลายข้อหารวมกันในคำฟ้องข้อเดียวกันในข้อ 2.ก ส่วนหนึ่งและข้อ 2.ข อีกส่วนหนึ่ง โดยการกระทำที่บรรยายฟ้องรวมอยู่ในแต่ละข้อหานั้น โจทก์มิได้บรรยายแยกแยะ การกระทำของจำเลยให้ปรากฏชัดแจ้งพอที่จะให้เห็นได้ว่าประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 2.กและข้อ 2.ข ในแต่ละข้อหาเป็นแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน ดังนี้ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในทุกข้อหาตามฟ้องข้อ 2.กและข้อ2.ขเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนอกเหนือไปจากคำฟ้องหาได้ไม่เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6982/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีทรัพย์สินทางปัญญา: การบรรยายฟ้อง และหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
คำฟ้องในคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศต้องเป็นไปตามข้อกำหนดคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2540 ข้อ 6 กรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 172 วรรคสอง แห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับ โจทก์ในคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่จำต้องบรรยายฟ้องให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 172 วรรคสอง ดังนี้หากโจทก์บรรยายฟ้องให้พอเข้าใจได้ถึงสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และคำขอบังคับก็เพียงพอที่จะให้ถือว่าเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายตามข้อกำหนดดังกล่าวแล้ว หากจำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่เข้าใจคำฟ้องในส่วนใด ศาลอาจสั่งให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องโดยอธิบายรายละเอียดในส่วนนั้นให้ชัดเจนขึ้นก็ได้ และจำเลยมีสิทธิแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในส่วนคำฟ้องที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นได้ ตามข้อกำหนดดังกล่าวข้อ 6 วรรคสอง แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของ ข้อกำหนดดังกล่าวว่าประสงค์จะให้คู่ความแพ้ชนะกันในเนื้อหาแห่งคดี ไม่ถือเอาข้อบกพร่องในการบรรยายฟ้อง อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดี ดังนี้ เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้สั่งให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง แสดงว่าศาลเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
บัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 ของ ป.รัษฎากรกำหนดในข้อ 7 ว่า กรณี (ข) มอบอำนาจให้บุคคล คนเดียวหรือหลายคนร่วมกันกระทำการมากกว่าครั้งเดียว ต้องเสียค่าอากรแสตมป์ 30 บาท และกรณี (ค) มอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียวโดยให้บุคคลหลายคนต่างคนต่างกระทำกิจการแยกกันได้ คิดตามรายตัวบุคคลที่ รับมอบคนละ 30 บาท
โจทก์มอบอำนาจให้ ส. ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายหรือ บ. ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของธนาคารโจทก์เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ในการดำเนินคดี แก้ต่างคดีของโจทก์ ฟ้องแย้ง ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความรวมทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา คดีแรงงาน คดีภาษีอากร คดีล้มละลาย ในศาลทั่วราชอาณาจักร ต่อบุคคล นิติบุคคล กลุ่มคณะบุคคลใด ๆ ที่ได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ต่อโจทก์ และกระทำการอื่นตามที่ระบุไว้ในข้อ 2 ถึง 8 โดยให้ผู้รับมอบอำนาจคนใด คนหนึ่งมีอำนาจกระทำการดังกล่าวแทนโจทก์ในนามโจทก์ได้ การมอบอำนาจดังกล่าวของโจทก์เป็นการมอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียวโดยให้ต่างคนกระทำกิจการแยกกันได้ ค่าอากรแสตมป์จึงต้องคิดตามรายตัวบุคคลที่ รับมอบอำนาจคนละ 30 บาท ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ 7(ค) ท้าย ป.รัษฎากรดังกล่าว เมื่อตามหนังสือ มอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ได้มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจ 2 คน คนใดคนหนึ่งทำการฟ้องคดีแพ่งและกระทำการอื่น ๆ แทนโจทก์ได้ โจทก์จึงต้องปิดอากรแสตมป์คิดตามรายตัวบุคคลที่รับมอบอำนาจคนละ 30 บาท รวมจำนวน 60 บาท
โจทก์ปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบอำนาจไม่ครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมาย แม้โจทก์ได้ไป เสียอากรแสตมป์และเงินเพิ่มสำหรับหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเพื่อให้มีผลเป็นตราสารที่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 117 ก็ตาม แต่โจทก์ได้ดำเนินการดังกล่าวภายหลังจากที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้พิพากษาคดีไปแล้ว โจทก์มิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์เสียก่อนหรือในขณะที่ได้นำหนังสือ มอบอำนาจนั้นมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง ทั้ง ๆ ที่จำเลยทั้งสี่ก็ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย หนังสือมอบอำนาจจึงเป็น ตราสารที่มิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ในขณะที่โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐาน หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในป.รัษฎากร มาตรา 118 กรณีย่อมฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจ ส. ให้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5541/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงใหม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงในคดีจึงต้องรับฟังเป็นยุติถึงการกระทำความผิดของจำเลยได้ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่อาจที่จะโต้แย้งเป็นอย่างอื่นได้ การที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมาว่ามิได้มีเจตนากระทำผิด เป็นอุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติไปแล้ว อันถือได้ว่าเป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัยให้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3879/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญา: การพิจารณาคำฟ้องในคดีที่เกี่ยวข้อง
กรณีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีตามคำฟ้องของโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศหรือไม่ และได้เสนอให้ประธานศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 9 ซึ่งประธานศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า คดีตามคำฟ้องของโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำสั่งให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3879/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ คดีซื้อขายสินค้าข้ามประเทศ: การพิจารณาอำนาจศาลเพื่อรับฟ้องคดีสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ
กรณีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีตามคำฟ้องของโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศหรือไม่ และได้เสนอให้ประธานศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539มาตรา 9 ซึ่งประธานศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า คดีตามคำฟ้องของโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำสั่งให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8081/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการพิจารณาความคล้ายคลึงของเครื่องหมายการค้าจนอาจทำให้สาธารณชนสับสน
พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 3 ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา(จำเลยที่ 1) มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้า มาตรา 4 กำหนดให้กองตรวจสอบ 2ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบเพื่อการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 5(3)(ก) เป็นส่วนราชการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าและควบคุมดูแลการดำเนินการของกองตรวจสอบ 2เกี่ยวกับการตรวจสอบเพื่อการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ส่วนจำเลยที่ 10เป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีอำนาจหน้าที่รับหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2534 เมื่อจำเลยที่ 10 มีคำวินิจฉัยให้ดำเนินการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ยื่นคัดค้านไว้และคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีมติยืนตามคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 10 โดยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ารวมทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 10เป็นจำเลยต่อศาลได้
เครื่องหมายการค้าของบริษัทสันติภาพ(ฮั่วเพ้ง1958) จำกัดภาษาไทย คำว่า คอฟ-ทีกับเครื่องหมายการค้าคำว่าค๊อฟ-ซี่ ของโจทก์คู่หนึ่ง และเครื่องหมายการค้าของบริษัทสันติภาพ(ฮั่วเพ้ง1958) จำกัดอักษรโรมัน คำว่า KOF-T กับเครื่องหมายการค้าคำว่า COFCY ของโจทก์อีกคู่หนึ่งนั้นต่างมีสำเนียงเสียงอ่านที่ใกล้เคียงกันมาก และมี 2 พยางค์เหมือนกัน การออกเสียงเรียกขานชื่อเครื่องหมายการค้าทั้งสองคำดังกล่าวอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดได้เนื่องจากคนไทยไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ และผู้ซื้อสินค้าอาจจะไม่ได้ดูชื่อที่เขียนอยู่บนห่อสินค้านั้นเพราะเป็นสินค้าที่มีราคาไม่มากตัวอักษรที่นำมาประกอบเป็นเครื่องหมายการค้าทั้งอักษรไทยและอักษรโรมันต่างก็มีจำนวนตัวอักษรที่เกือบจะเท่ากันแม้ตัวอักษรบางตัวและลีลาการเขียนตัวอักษรจะแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เห็นเด่นชัด เครื่องหมายการค้าของบริษัทสันติภาพ(ฮั่วเพ้ง1958) จำกัด และเครื่องหมายการค้าของโจทก์ต่างใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันและมีรายการสินค้าเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันความสับสนหลงผิดย่อมเกิดขึ้นได้โดยง่ายโดยเฉพาะในหมู่ผู้ซื้อที่ไม่ทันสังเกตหรือเป็นผู้ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษหรือรู้เพียงเล็กน้อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า ค๊อฟ-ซี่ และ COFCY รวมทั้งผลิตสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวออกจำหน่ายแก่คนทั่วไปมาหลายปีแล้ว บริษัทสันติภาพ(ฮั่วเพ้ง1958) จำกัด จะยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า คอฟ-ที และ KOF-Tใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันกับของโจทก์อีกไม่ได้เพราะเครื่องหมายการค้าทั้งสองเหมือนหรือคล้ายกันจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7887/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องและถอนอุทธรณ์หลังศาลพิพากษา และการไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานต่างประเทศในคดีทรัพย์สินทางปัญญา
คำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ชอบที่ยื่นต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางในเวลาใดก็ได้ก่อนศาลนั้นพิพากษา การที่โจทก์มายื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 ที่ 4 เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ พิพากษาคดีไปแล้วย่อมเป็นการล่วงเลยเวลาที่จะอนุญาตให้ถอนฟ้องได้ ส่วนการที่จำเลยที่ 3ที่ 4 ขอถอนอุทธรณ์ อ้างว่าตนตกลงกับโจทก์ได้แล้วและโจทก์แถลงไม่คัดค้านการถอนอุทธรณ์ ย่อมมีเหตุสมควรอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ถอนอุทธรณ์ได้
ข้อกำหนดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ อนุญาตให้คู่ความใช้วิธีบันทึกถ้อยคำแทนการนำตัวพยานซึ่งอยู่ต่างประเทศเสนอต่อศาลอยู่แล้ว การส่งประเด็นไปสืบพยานบุคคลซึ่งอยู่ต่างประเทศต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและใช้เวลานาน เมื่อจำเลยที่ 5 มีความประสงค์จะสืบตัวจำเลยที่ 3 เป็นพยานอีกเพียงปากเดียวแต่มิได้แสดงเหตุผลถึงความเป็นเป็นพิเศษในการที่จะขอส่งประเด็นไปสืบตัวจำเลยที่ 3ที่ดินแดนไต้หวันที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลยที่ 5 จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 624/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีทรัพย์สินทางปัญญาเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท และการยกเว้นความรับผิดของผู้ขนส่งเมื่อไม่มีหลักฐานสินค้าสูญหายระหว่างขนส่ง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขนส่งอื่นซึ่งตกลงรับขนสินค้าแบบ CY/CY เมื่อโจทก์ไม่นำสืบว่าสินค้าได้สูญหายระหว่างอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 2 ส่งมอบตู้สินค้าพิพาทให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยโดยที่ ตู้สินค้าอยู่ในสภาพเรียบร้อย แสดงให้เห็นว่า สินค้าในตู้สินค้า ไม่มีโอกาสสูญหายระหว่างจำเลยที่ 2 ทำการขนส่ง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 39 ประกอบมาตรา 44 การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า สินค้าที่พิพาทได้สูญหายไประหว่างการขนส่งที่อยู่ ในความดูแล ของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำนวน 75,703.73 บาทนั้น เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่ปัญหา ข้อกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 624/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีทรัพย์สินทางปัญญา: ทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท และการโต้เถียงข้อเท็จจริง
คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เพียง75,703.73 บาท ซึ่งไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพ.ศ. 2539 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2เป็นผู้ขนส่งอื่นซึ่งตกลงรับขนสินค้าแบบ CY/CY โจทก์ไม่นำสืบว่าสินค้าได้สูญหายระหว่างอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ส่งมอบตู้สินค้าพิพาทให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยตู้สินค้าอยู่ในสภาพเรียบร้อย แสดงให้เห็นว่าสินค้าในตู้สินค้าไม่มีโอกาสสูญหายระหว่างจำเลยที่ 2ทำการขนส่ง กรณีไม่อาจถือว่า สินค้าพิพาทสูญหายไประหว่างอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 39ประกอบมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ. 2534 โจทก์อุทธรณ์ว่า สินค้าที่พิพาทได้สูญหายไปในระหว่างการขนส่งซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2ผู้ขนส่ง จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามมาตรา 39 วรรคสอง,43,44,45,52 แห่งพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่อุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์มานั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
of 9