พบผลลัพธ์ทั้งหมด 307 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น-อำนาจฟ้อง: เจ้าของรวมใช้สิทธิแทนกันได้-ทางออกสู่สาธารณะ
จำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินร่วมกับ จ. การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าทางพิพาทไม่เป็นทางจำเป็น จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและถือเป็นการยกข้อต่อสู้แทน จ. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินอีกคนหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 แล้ว ผลแห่งคดีแม้จำเลยเจ้าของรวมคนเดียวถูกฟ้อง ก็ย่อมต้องผูกพันถึง จ. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวให้เปิดทางจำเป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟ้อง จ. ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็นในที่ดินร่วม: สิทธิผ่านทาง, ขนาดทาง, อำนาจฟ้องเจ้าของรวม
ทางซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดที่ไปออกสู่ถนน เป็นทางที่โจทก์และประชาชนไม่สามารถใช้สัญจรไปมาได้ ทั้งไม่ใช่ทางสาธารณะ เพราะเป็นทางที่ต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่น เมื่อที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดมีที่ดินของบุคคลอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกถึงถนนสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งเจ็ดย่อมมีสิทธิผ่านทางพิพาทซึ่งอยู่ภายในเขตที่ดินของจำเลยไปออกสู่ทางสาธารณะดังกล่าวได้ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349วรรคแรก
รถยนต์เป็นพาหนะจำเป็นที่ประชาชนใช้ในการเดินทาง การที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทให้เหลือขนาดความกว้างประมาณ 1 เมตร ย่อมทำให้รถยนต์ไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ เป็นการไม่เหมาะสมแก่สภาพการณ์ความเจริญของบ้านเมืองในปัจจุบันและในอนาคต การกำหนดให้จำเลยเปิดทางพิพาทซึ่งเป็นทางจำเป็นมีขนาดกว้าง 2.30เมตร เพื่อให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้จึงเหมาะสมแล้ว
การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งในที่ดินให้การต่อสู้คดีว่าทางพิพาทไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด เป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้โจทก์ทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นการยกข้อต่อสู้แทน จ. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินอีกคนหนึ่ง ผลแห่งคดีที่จำเลยเจ้าของรวมคนเดียวถูกฟ้อง ย่อมต้องผูกพัน จ. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งโจทก์ทั้งเจ็ดไม่จำต้องฟ้อง จ. ด้วย แต่สามารถฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวได้
รถยนต์เป็นพาหนะจำเป็นที่ประชาชนใช้ในการเดินทาง การที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทให้เหลือขนาดความกว้างประมาณ 1 เมตร ย่อมทำให้รถยนต์ไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ เป็นการไม่เหมาะสมแก่สภาพการณ์ความเจริญของบ้านเมืองในปัจจุบันและในอนาคต การกำหนดให้จำเลยเปิดทางพิพาทซึ่งเป็นทางจำเป็นมีขนาดกว้าง 2.30เมตร เพื่อให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้จึงเหมาะสมแล้ว
การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งในที่ดินให้การต่อสู้คดีว่าทางพิพาทไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด เป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้โจทก์ทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นการยกข้อต่อสู้แทน จ. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินอีกคนหนึ่ง ผลแห่งคดีที่จำเลยเจ้าของรวมคนเดียวถูกฟ้อง ย่อมต้องผูกพัน จ. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งโจทก์ทั้งเจ็ดไม่จำต้องฟ้อง จ. ด้วย แต่สามารถฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9248/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็นและทางภาระจำยอมเมื่อที่ดินถูกล้อม - การบังคับใช้สิทธิทางกฎหมาย
โจทก์ตั้งรูปคดีโดยบรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่และขอผ่านที่ดินของจำเลยที่ล้อมที่ดินของโจทก์เพื่อเป็นทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะ มิได้บรรยายฟ้องว่า ที่ดินของจำเลยตกอยู่ภายใต้ภาระจำยอม ซึ่งจำเลยต้องยอมรับภาระบางอย่างเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ ตามคำให้การและฟ้องแย้งจำเลยก็ต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่มีสิทธิใช้ทางจำเป็น แต่ถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิใช้ได้ ก็ขอให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านให้แก่จำเลยแม้โจทก์จะให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินของจำเลยตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์และต่อสู้คดีว่าจำเลยควรได้รับค่าทดแทนเพื่อความเสียหายในการใช้ทางเพียงครั้งเดียวไม่เกิน 20,000 บาท ก็ตาม แต่โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำฟ้องเพื่อเพิ่มเติมให้มีประเด็นในเรื่องทางภาระจำยอม คำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์จึงมีประเด็นข้อพิพาทแต่เฉพาะเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นเท่านั้น ปํญหาที่ว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดี
ที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งมีแนวเขตติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 3481 และสามารถใช้ถนนคอนกรีตในที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นทางจำเป็นผ่านออกสู่ทางสาธารณะได้ ต่อมามีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่ออกเป็นแปลงย่อยจึงทำให้ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นที่แบ่งแยกล้อมอยู่จนไม่มีทางออก กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1350 โจทก์ก็ชอบที่จะใช้ที่ดินซึ่งแบ่งแยกออกมาและกันไว้เป็นทางไปยังถนนคอนกรีตบนที่ดินโฉนดเลขที่ 3481 เพื่อออกสู่ทางสาธารณะโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนได้อยู่แล้ว โจทก์จะเลือกใช้ทางผ่านที่ดินแปลงอื่นของจำเลยไม่ได้
โจทก์มีสิทธิใช้ถนนบนที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นด้วยอำนาจแห่งกฎหมาย แม้มีการโอนที่ดินแปลงดังกล่าวของจำเลยไปเป็นของผู้อื่น โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิใช้ทางจำเป็นตาม ป.พ.พ มาตรา 1349 ศาลจึงไม่จำต้องกำหนดให้จำเลย
จดทะเบียนสิทธิทางจำเป็นแก่โจทก์
ที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งมีแนวเขตติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 3481 และสามารถใช้ถนนคอนกรีตในที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นทางจำเป็นผ่านออกสู่ทางสาธารณะได้ ต่อมามีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่ออกเป็นแปลงย่อยจึงทำให้ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นที่แบ่งแยกล้อมอยู่จนไม่มีทางออก กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1350 โจทก์ก็ชอบที่จะใช้ที่ดินซึ่งแบ่งแยกออกมาและกันไว้เป็นทางไปยังถนนคอนกรีตบนที่ดินโฉนดเลขที่ 3481 เพื่อออกสู่ทางสาธารณะโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนได้อยู่แล้ว โจทก์จะเลือกใช้ทางผ่านที่ดินแปลงอื่นของจำเลยไม่ได้
โจทก์มีสิทธิใช้ถนนบนที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นด้วยอำนาจแห่งกฎหมาย แม้มีการโอนที่ดินแปลงดังกล่าวของจำเลยไปเป็นของผู้อื่น โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิใช้ทางจำเป็นตาม ป.พ.พ มาตรา 1349 ศาลจึงไม่จำต้องกำหนดให้จำเลย
จดทะเบียนสิทธิทางจำเป็นแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800-801/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็นและภารจำยอม: การใช้ทางผ่านที่ดินของผู้อื่นเมื่อไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ
คลองบางไผ่น้อยบริเวณพิพาท แม้ใช้เรือสัญจรเข้าออกได้ แต่ก็ ขาดความสะดวกที่จะใช้สอยเป็นทางสาธารณะได้ตามปกติ จึงยังไม่พอ ที่จะถือได้ว่าเป็นทางสาธารณะตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1349 โจทก์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งล้อมอยู่ ไปสู่ทางสาธารณะโดยใช้ทางเดินพิพาทผ่านเข้าออกเป็นทางจำเป็นได้
โจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะสืบทอดมาตั้งแต่ ครั้งบรรพบุรุษของโจทก์และจำเลยที่เป็นญาติใกล้ชิดมาแต่เดิม จนกระทั่ง ปลายปี 2528 น้ำท่วมทางพิพาท ทางฝ่ายโจทก์จึงได้จัดสรรสร้างสะพานไม้ ข้ามคูน้ำในทางเดินพิพาท โดยบิดาจำเลยยินยอมให้ดำเนินการในลักษณะ ของความอะลุ่มอล่วยฉันเครือญาติ จึงเป็นการแสดงออกโดยแจ้งชัดว่า โจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย โดยถือว่าเป็นกันเอง อย่างเช่น เครือญาติที่ผูกพันกันมานานสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ อันเป็นการใช้ทางเดินพิพาทโดยถือวิสาสะและเอื้อเฟื้อต่อกัน ทางเดินพิพาท จึงไม่ตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401
โจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะสืบทอดมาตั้งแต่ ครั้งบรรพบุรุษของโจทก์และจำเลยที่เป็นญาติใกล้ชิดมาแต่เดิม จนกระทั่ง ปลายปี 2528 น้ำท่วมทางพิพาท ทางฝ่ายโจทก์จึงได้จัดสรรสร้างสะพานไม้ ข้ามคูน้ำในทางเดินพิพาท โดยบิดาจำเลยยินยอมให้ดำเนินการในลักษณะ ของความอะลุ่มอล่วยฉันเครือญาติ จึงเป็นการแสดงออกโดยแจ้งชัดว่า โจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย โดยถือว่าเป็นกันเอง อย่างเช่น เครือญาติที่ผูกพันกันมานานสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ อันเป็นการใช้ทางเดินพิพาทโดยถือวิสาสะและเอื้อเฟื้อต่อกัน ทางเดินพิพาท จึงไม่ตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6380/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น ศาลแก้คำพิพากษาให้ชัดเจนตามคำขอ และกำหนดค่าทนายความใหม่ในคดีไม่มีทุนทรัพย์
ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่า ห้ามจำเลยและจำเลยร่วมเกี่ยวข้องกับทางพิพาท เมื่อที่ดินส่วนที่เป็นทางพิพาทยังคงเป็นของจำเลยและจำเลยร่วม ทั้งโจทก์มิได้มีคำขอให้ห้ามจำเลยและจำเลยร่วมเกี่ยวข้องกับทางพิพาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142
ตามคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ขอให้จำเลยเปิดถนนหรือทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมเปิดทางกว้าง 3 เมตร จากที่ดินของจำเลยร่วมไปถึงถนนสาธารณะ อันไม่ตรงตามคำขอและอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับคดี ศาลฎีกาจึงระบุให้จำเลยและจำเลยร่วมเปิดทางจำเป็นให้ชัดแจ้งและไม่เกินกว่าที่โจทก์ขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 5,000 บาท แทนโจทก์ แต่คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ กฎหมายกำหนดค่าทนายความขั้นสูงในศาลชั้นต้นไว้ 3,000 บาท แม้ศาลชั้นต้นจะสามารถกำหนดให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความได้ถึง 6,000 บาท เพราะจำเลยร่วมฟ้องแย้งก็ตาม แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้นเสียใหม่
ตามคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ขอให้จำเลยเปิดถนนหรือทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมเปิดทางกว้าง 3 เมตร จากที่ดินของจำเลยร่วมไปถึงถนนสาธารณะ อันไม่ตรงตามคำขอและอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับคดี ศาลฎีกาจึงระบุให้จำเลยและจำเลยร่วมเปิดทางจำเป็นให้ชัดแจ้งและไม่เกินกว่าที่โจทก์ขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 5,000 บาท แทนโจทก์ แต่คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ กฎหมายกำหนดค่าทนายความขั้นสูงในศาลชั้นต้นไว้ 3,000 บาท แม้ศาลชั้นต้นจะสามารถกำหนดให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความได้ถึง 6,000 บาท เพราะจำเลยร่วมฟ้องแย้งก็ตาม แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้นเสียใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6380/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอและขอบเขตการบังคับคดีในคดีทางจำเป็น ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้ชัดเจน
ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์ แต่ก็ยังคงเป็นของจำเลยทั้งโจทก์มิได้มีคำขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับทางพิพาทการที่ศาลพิพากษาห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับทางพิพาทจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6270-6271/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางภารจำยอม-ทางจำเป็น: การใช้ที่ดินของผู้อื่นเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะเกิน 10 ปี และการเสียหายจากการถูกปิดกั้น
ที่ดินของโจทก์ทั้งสองและจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันมาก่อน ต่อมามีการแบ่งแยกที่ดินเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะส่วนที่ดินของจำเลยอยู่ติดถนนและอยู่ด้านหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงเรียกร้องที่ดินของจำเลยให้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 แม้โจทก์ทั้งสองจะไม่เคยยกข้อต่อสู้เรื่องทางจำเป็นในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองปลูกโรงเรือนรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยก็ตาม ก็หาทำให้ทางจำเป็นซึ่งเป็นผลโดยกฎหมายเสียไปไม่
การสร้างอาคารพาณิชย์หรือตึกแถวต้องเว้นที่ว่างด้านหน้าอาคารพาณิชย์หรือตึกแถวไม่น้อยกว่า 6 เมตรตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295(ว่าด้วยกฎหมายเกี่ยวกับทางหลวง) แสดงว่าผู้ซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์ดังกล่าวจาก ว. และ ช. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมสามารถใช้ที่ดินของจำเลยที่เหลือจากการแบ่งแยก ซึ่งเป็นที่ดินที่เว้นไว้ห่างหน้าอาคารพาณิชย์ 6 เมตร ตามกฎหมาย โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ใดและไม่ใช่เป็นการใช้ที่ดินดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะโดยถือวิสาสะด้วย เมื่อโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์ดังกล่าวจึงสามารถใช้ที่ดินออกสู่ทางสาธารณะ เมื่อโจทก์ที่ 1 ได้รับโอนที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์มาเมื่อกลางปี 2525 ส่วนจำเลยได้รับโอนที่ดินมาเมื่อปลายปี 2535 จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ก่อนที่จำเลยจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแล้ว ที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 สำหรับโจทก์ที่ 2 รับโอนที่ดินมาในปี 2526 และ2527 แม้คำนวณระยะเวลาถึงวันที่จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินยังไม่ถึง 10 ปี แต่เมื่อนับถึงปี 2538 ที่จำเลยปิดกั้นไม่ให้ใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะแล้วเป็นระยะเวลาเกิน 10 ปี ที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 2 ด้วย
การที่จำเลยปิดกั้นที่ดินมิให้โจทก์ที่ 2 ใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะย่อมทำให้โจทก์ที่ 2 เสียหายเพราะโจทก์ที่ 2 ค้าขายวัสดุก่อสร้าง จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้เดือนละ 10,000 บาท โดยคำนึงถึงการใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะด้วย จึงนับว่าเหมาะสมแล้ว
การสร้างอาคารพาณิชย์หรือตึกแถวต้องเว้นที่ว่างด้านหน้าอาคารพาณิชย์หรือตึกแถวไม่น้อยกว่า 6 เมตรตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295(ว่าด้วยกฎหมายเกี่ยวกับทางหลวง) แสดงว่าผู้ซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์ดังกล่าวจาก ว. และ ช. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมสามารถใช้ที่ดินของจำเลยที่เหลือจากการแบ่งแยก ซึ่งเป็นที่ดินที่เว้นไว้ห่างหน้าอาคารพาณิชย์ 6 เมตร ตามกฎหมาย โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ใดและไม่ใช่เป็นการใช้ที่ดินดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะโดยถือวิสาสะด้วย เมื่อโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์ดังกล่าวจึงสามารถใช้ที่ดินออกสู่ทางสาธารณะ เมื่อโจทก์ที่ 1 ได้รับโอนที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์มาเมื่อกลางปี 2525 ส่วนจำเลยได้รับโอนที่ดินมาเมื่อปลายปี 2535 จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ก่อนที่จำเลยจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแล้ว ที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 สำหรับโจทก์ที่ 2 รับโอนที่ดินมาในปี 2526 และ2527 แม้คำนวณระยะเวลาถึงวันที่จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินยังไม่ถึง 10 ปี แต่เมื่อนับถึงปี 2538 ที่จำเลยปิดกั้นไม่ให้ใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะแล้วเป็นระยะเวลาเกิน 10 ปี ที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 2 ด้วย
การที่จำเลยปิดกั้นที่ดินมิให้โจทก์ที่ 2 ใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะย่อมทำให้โจทก์ที่ 2 เสียหายเพราะโจทก์ที่ 2 ค้าขายวัสดุก่อสร้าง จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้เดือนละ 10,000 บาท โดยคำนึงถึงการใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะด้วย จึงนับว่าเหมาะสมแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4508/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับทางและที่ดินรอบข้าง
ตามคำพิพากษาศาลฎีกาคงวินิจฉัยเพียงว่า เมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้วโจทก์มีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้ โดยอำนาจของกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 หมายความว่า โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทได้แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งตามวรรคสามของมาตรา 1349 ที่บัญญัติว่า "ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้ พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยสุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็น ผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ด้วย"
ทางพิพาทเป็นถนนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลย กว้าง 6 เมตร พื้นถนนรับน้ำหนักได้สำหรับรถส่วนบุคคลหรือรถปิกอัพน้ำหนักไม่เกิน 10 ตัน น้ำหนักที่บรรทุก 10 ตัน ใช้ได้เฉพาะรถบรรทุกหกล้อ ไม่สามารถให้รถบรรทุกสิบล้อซึ่งจะบรรทุกน้ำหนักประมาณ 20 ตัน ขึ้นไปผ่านได้ หากให้รถบรรทุกสิบล้อผ่านจะเกิดความเสียหายแก่พื้นถนนและรั้วบริเวณที่รถผ่านจะแตกร้าวได้ ทั้งจะทำให้ประชาชนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยถูกรบกวนการอยู่อาศัยตามปกติ จำเลยจึงสร้างคานเหล็กซึ่งมีความสูงจากพื้นผิวถนน 2.50 เมตร ปิดกั้นทางพิพาทมิให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ผ่านเข้าออกในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลย ซึ่งโจทก์สามารถใช้ทางพิพาทโดยไม่ให้เกิดความเสียหายหรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางพิพาทน้อยที่สุดได้ โดยใช้รถบรรทุกหกล้อบรรทุกดินผ่านเข้าออกทางพิพาทเพื่อให้เหมาะสมแก่ทางพิพาท ซึ่งรับน้ำหนักบรรทุกได้ไม่เกิน 10 ตัน ทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติของประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ทางพิพาทผ่านด้วย จึงยังไม่สมควรให้จำเลยเปิดเหล็กกั้นทางพิพาทอันเป็นทางจำเป็น
เมื่อศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้บังคับคดีเป็นไปตามคำร้องของโจทก์แล้ว ก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์เสีย แต่ศาลชั้นต้นมิได้สั่ง ศาลฎีกาเห็นพ้องสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ทางพิพาทเป็นถนนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลย กว้าง 6 เมตร พื้นถนนรับน้ำหนักได้สำหรับรถส่วนบุคคลหรือรถปิกอัพน้ำหนักไม่เกิน 10 ตัน น้ำหนักที่บรรทุก 10 ตัน ใช้ได้เฉพาะรถบรรทุกหกล้อ ไม่สามารถให้รถบรรทุกสิบล้อซึ่งจะบรรทุกน้ำหนักประมาณ 20 ตัน ขึ้นไปผ่านได้ หากให้รถบรรทุกสิบล้อผ่านจะเกิดความเสียหายแก่พื้นถนนและรั้วบริเวณที่รถผ่านจะแตกร้าวได้ ทั้งจะทำให้ประชาชนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยถูกรบกวนการอยู่อาศัยตามปกติ จำเลยจึงสร้างคานเหล็กซึ่งมีความสูงจากพื้นผิวถนน 2.50 เมตร ปิดกั้นทางพิพาทมิให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ผ่านเข้าออกในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลย ซึ่งโจทก์สามารถใช้ทางพิพาทโดยไม่ให้เกิดความเสียหายหรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางพิพาทน้อยที่สุดได้ โดยใช้รถบรรทุกหกล้อบรรทุกดินผ่านเข้าออกทางพิพาทเพื่อให้เหมาะสมแก่ทางพิพาท ซึ่งรับน้ำหนักบรรทุกได้ไม่เกิน 10 ตัน ทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติของประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ทางพิพาทผ่านด้วย จึงยังไม่สมควรให้จำเลยเปิดเหล็กกั้นทางพิพาทอันเป็นทางจำเป็น
เมื่อศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้บังคับคดีเป็นไปตามคำร้องของโจทก์แล้ว ก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์เสีย แต่ศาลชั้นต้นมิได้สั่ง ศาลฎีกาเห็นพ้องสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4508/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่นและสภาพทางกายภาพของทาง
การที่โจทก์กับพวกมีสิทธิใช้ถนนพิพาทในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยที่ 1 เป็นทางจำเป็นโดยผลของคำพิพากษาฎีกาย่อมต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 1349 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือโจทก์กับพวกสามารถใช้ถนนพิพาทโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดได้ หากโจทก์กับพวกจะใช้รถยนต์บรรทุกหกล้อเพื่อให้เหมาะสมแก่ถนนพิพาทซึ่งรับน้ำหนักบรรทุกได้ไม่เกิน 10 ตันทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติสุขของประชาชนที่พักอาศัยในหมู่บ้านที่ถนนพิพาทผ่านย่อมเป็นการใช้ทางจำเป็นตามสมควรแก่กรณี แต่โจทก์กับพวกกลับจะใช้รถบรรทุกสิบล้อผ่านเข้าออกถนนพิพาทย่อมทำให้ถนนพิพาทและรั้วบ้านที่รถผ่านได้รับความเสียหายรวมทั้งประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจะถูกรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติสุข จึงยังไม่สมควรให้จำเลยที่ 1 เปิดคานเหล็กกั้นถนนพิพาทอันเป็นทางจำเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็นเมื่อที่ดินถูกล้อม และการใช้ข้อตกลงเดิมเป็นเหตุผลสนับสนุนสิทธิ
ที่ดินของโจทก์และจำเลยแบ่งแยกออกจากที่ดินแปลงเดียวกันแต่ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ โจทก์ย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดทางสาธารณะไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โดยไม่ต้องคำนึงว่า ข้อตกลงที่จะเปิดทางเพื่อใช้เป็นทางออก สู่ทางสาธารณะที่โจทก์จำเลยได้ตกลงกันไว้ด้วยวาจาจะใช้บังคับได้หรือไม่
ตามคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์ได้ขอเปิดทางจำเป็นกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ให้เปิดทางจำเป็นกว้าง 3 เมตร จึงเป็นการตัดสินตามข้อหาในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 มิได้วินิจฉัยนอกประเด็น
ตามคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์ได้ขอเปิดทางจำเป็นกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ให้เปิดทางจำเป็นกว้าง 3 เมตร จึงเป็นการตัดสินตามข้อหาในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 มิได้วินิจฉัยนอกประเด็น