พบผลลัพธ์ทั้งหมด 90 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7475/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความ: ระยะเวลาการใช้ทางเดินข้ามที่ดินของผู้อื่นเกิน 10 ปี ทำให้เกิดสิทธิภารจำยอม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 และ 1388 เพ่งเล็งถึงความสำคัญของที่ดินที่เป็นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ ไม่ใช่ตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 24324 มาจาก ส. เมื่อวันที่ 25สิงหาคม 2520 จนถึงวันที่ ส. ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2529 เป็นระยะเวลาเพียง 8 ปีเศษ แต่หลังจากนั้นโจทก์ยังคงใช้ทางเดินในที่พิพาทติดต่อมาในช่วงที่จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอีก 2 ปีเศษถือได้ว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยทั้งสามมีทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงของโจทก์มาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ย่อมเกิดภารจำยอมโดยอายุความได้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4951/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงใช้ทางเดินส่วนบุคคลไม่เป็นภารจำยอม แม้จะมีการปฏิบัติตามตกลง แต่เป็นการใช้สิทธิเจ้าของที่ดินเดิม
จำเลยยอมรับที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงของเจ้าของเดิมของที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 ให้เส้นทางพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินดังกล่าวด้านทิศใต้กว้าง 1.5 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินดังกล่าวแก่เจ้าของที่ดินที่อยู่ด้านหลังใช้เป็นทางเดินและเมื่อแรกที่จำเลยเข้าอยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 ก็ได้ทำรั้วโดยเว้นทางพิพาทไว้อันเป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิปิดกั้นทางพิพาทและต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในทางพิพาทออกไป โจทก์ใช้ทางพิพาทตามข้อตกลงเป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 จึงไม่อาจได้ภารจำยอมโดยอายุความและข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่เป็นทรัพยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 จึงไม่เป็นภารจำยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3193/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอม: ขอบเขตทางเดินเดิม 1 เมตร แม้ขยายทางเพื่อรถไถนาภายหลังไม่ถือเป็นภารจำยอมเพิ่มเติม
ที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยที่ 1 กับ บ. อยู่ติดกันสุดเขตทางด้านทิศเหนือที่เป็นส่วนของจำเลยที่ 1 มีทางพิพาทซึ่งมีความกว้างไม่เกิน 1 เมตร โจทก์และจำเลยได้ใช้ทางดังกล่าวเพื่อออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว แม้ต่อมาจะได้มีการขยายเป็นทางกว้าง 2.50 เมตร ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปีทางพิพาทดังกล่าวก็ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์เท่าความกว้างของทางเดิมก่อนจะมีการขยายความกว้างของทาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2666/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้ภารจำยอมต้องเริ่มนับอายุความหลังแบ่งแยกที่ดิน การใช้ทางก่อนแบ่งแยกไม่ถือเป็นอายุความ
เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของคนเดียวกันเมื่อแบ่งแยกแล้วทางพิพาทอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลย แม้โจทก์จะได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ทางสาธารณะมาเกิน 10 ปีการที่โจทก์อยู่อาศัยในบ้านของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนั้นใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะในระหว่างนั้น ย่อมเป็นผู้ใช้สิทธิในฐานะเป็นบริวารและใช้โดยอาศัยอำนาจของเจ้าของเดิมเมื่อที่ดินเป็นของเจ้าของรายเดียวกัน ย่อมไม่มีเจ้าของสามยทรัพย์กับเจ้าของภารยทรัพย์อันจะทำให้เกิดมีภารจำยอมขึ้นได้ ผู้อยู่ในที่ดินจะใช้ทางนานเพียงใด ทางพิพาทก็ไม่ตกอยู่ในภารจำยอม อายุความการได้ภารจำยอมหากจะมีก็ต้องเริ่มนับตั้งแต่ได้แบ่งแยกที่ดินโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมระงับสิ้นไปเมื่อไม่ได้ใช้ทางเกวียนต่อเนื่อง 10 ปี เปลี่ยนเป็นทางเดิน
เดิมทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์สู่ทางสาธารณะเป็นทางเกวียนขนาด กว้าง 2-3 เมตร แต่ในเวลาต่อมาโจทก์ไม่ได้ใช้ทางนี้เป็นทางเกวียน ผ่านเข้าออกเป็นเวลานานถึง 10 ปีแล้ว คงใช้เป็นทางสำหรับคนเดิน ภารจำยอมไม่ว่าจะได้มาโดยนิติกรรมหรือโดยอายุความ ที่เป็นทางเกวียนดังกล่าวย่อมระงับสิ้นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 หลังจากนั้น เป็นต้นมาทางที่โจทก์ใช้ที่ดินของทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ ย่อมมีสภาพเพียงเป็นทางเดิน อายุความได้สิทธิหรืออายุความเสียสิทธิภารจำยอมมิใช่อายุความฟ้องร้อง ฉะนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าภารจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความ ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4781/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความ: การได้สิทธิใช้ทางผ่านในที่ดินของผู้อื่นเมื่อใช้ต่อเนื่องเกิน 10 ปี โดยเจ้าของที่ดินไม่โต้แย้ง
ที่ดินของโจทก์กับจำเลยมีเขตติดต่อกันโดยมีลำรางสาธารณะกั้นและโจทก์ได้สร้างสะพานข้ามลำรางสาธารณะเพื่อใช้ข้ามจากที่ดินของโจทก์ไปยังที่ดินของจำเลยและเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์มาเป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ โจทก์จึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนให้แก่จำเลยแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยการใช้ต่อเนื่องและการใช้แทนเจ้าของที่ดิน
โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินมาจากนายฟุ้งเจ้าของเดิมตั้งแต่ปี 2515 เพิ่งจะมาปลูกบ้านในที่ดินและใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะตั้งแต่ปี 2519 ซึ่งเมื่อนับเวลาที่โจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยตนเองจนกระทั่งจำเลยปิดกั้นทางพิพาทเมื่อปี 2528 จะยังไม่ถึง 10 ปีก็ตามแต่นายฟุ้งและครอบครัวได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะมาตั้งแต่ปี 2515 ตลอดมาการใช้ทางพิพาทของนายฟุ้งและครอบครัวก่อนที่โจทก์จะเข้ามาปลูกบ้านจึงเป็นการใช้แทนโจทก์เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่นายฟุ้งและครอบครัวใช้ทางพิพาทแทนโจทก์ในปี 2515 ตลอดมา จนกระทั่งโจทก์ใช้ทางพิพาทด้วยตนเองในปี 2519 ต่อ ๆ มา จนจำเลยปิดกั้นทางพิพาทก็เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5709/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างอาคารต้องร่นระยะจากถนนและเว้นที่ทางเดินหลังอาคารตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
แผงกันสาดเป็นส่วนหนึ่งของอาคารต้องเว้นระยะจากกึ่งกลางถนนถึงกันสาด 6 เมตร ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 72 "ทางออก" ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 76(5) หมายถึง การมีทางออกซึ่งเป็นตรอกซอย หรือถนน หาใช่ทางออกจากทางด้านหน้าของอาคารแต่ละหลังเมื่ออาคารของจำเลยไม่มีตรอก ซอยหรือถนนอันเป็นทางออกภายในระยะ 15 เมตร นับจากหัวมุมที่ถนนตัดกัน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องเว้นที่ว่างให้เป็นทางเดินหลังอาคาร 2 เมตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมโดยอายุความ การรุกล้ำทางเดิน และสิทธิในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์และบริวารใช้ทางพิพาทเดินออกสู่ทางสาธารณะมากว่า 10 ปี ทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ เมื่อจำเลยก่อสร้างกำแพงรุกล้ำทางพิพาท เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวก โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยึดทรัพย์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อถอนกำแพงเฉพาะส่วนที่รุกล้ำได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมาตรา 1390
ที่ดินโจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นทางภาระจำยอมในคดีก่อนเป็นคนละแปลงกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงไม่เป็นการยื่นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้อีก ไม่เป็นการฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอม ก็ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เป็นการไม่ชอบโจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ
ที่ดินโจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นทางภาระจำยอมในคดีก่อนเป็นคนละแปลงกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงไม่เป็นการยื่นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้อีก ไม่เป็นการฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอม ก็ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เป็นการไม่ชอบโจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2121/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ทางเดินโดยวิสาสะไม่ก่อให้เกิดภารจำยอม แม้ใช้ต่อเนื่องเกิน 10 ปี
โจทก์เดิน ผ่านที่ดินของจำเลยโดย ถือ วิสาสะ แม้จะใช้ มาเกินกว่า10 ปี ก็หาก่อให้เกิดภารจำยอมเหนือที่ดินจำเลยไม่ คดีมีการนัดชี้สองสถานและได้ นัดสืบพยาน โจทก์จำเลยรวม ทั้งสิ้น15 นัด เป็นเวลา 1 ปีเศษ ทนายความจึงต้อง ว่าความนานพอสมควร และเป็นคดีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงถือ เป็นคดีสำคัญ ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จึงเหมาะสมกับรูปคดี.