คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทำประโยชน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 71 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินมือเปล่าที่ยังไม่ได้รับการรับรองการทำประโยชน์ตามกฎหมายที่ดิน สิทธิที่โอนได้คือสิทธิครอบครองเท่านั้น
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า แม้จะได้แจ้งการครอบครองแล้ว แต่เมื่อยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ย่อมไม่อาจโอนกันได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 แต่ย่อมโอนไปซึ่งการครอบครองได้โดยการส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินมือเปล่าที่ยังไม่ได้รับการรับรองการทำประโยชน์ ย่อมโอนได้เฉพาะสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า แม้จะได้แจ้งการครอบครองแล้ว แต่เมื่อยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ย่อมไม่อาจโอนกันได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 แต่ย่อมโอนไปซึ่งการครอบครองได้โดยการ ส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1378

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1074/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: ผู้ซื้อที่ดินทิ้งร้าง ย่อมเสียสิทธิให้แก่ผู้ครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่อง
โจทก์ซื้อที่นามือเปล่าได้จากการขายทอดตลาดของศาลศาลได้ทำหนังสือถึงนายอำเภอมอบให้โจทก์เพื่อนำไปให้อำเภอทำสัญญาซื้อขายให้ แต่โจทก์ก็มิได้นำหนังสือของศาลไปให้อำเภอทำสัญญาซื้อขายแต่อย่างใด ส่วนที่นานั้นโจทก์คงปล่อยทิ้งร้างไว้มิได้เข้าครอบครองเลยหลังจากโจทก์ซื้อแล้ว จำเลยได้เข้าครอบครองที่นานั้นติดต่อกันมาเป็นเวลา 4 ปี ดังนี้ จำเลยย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยมิได้ และโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 686/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินโดยมิชอบ การฟ้องขับไล่ และค่าเสียหายจากการทำประโยชน์ในที่ดิน
การที่โจทก์แบ่งนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรและบุตรอื่นทำกินมิได้ทำให้โจทก์หมดสิทธิหรือขาดประโยชน์ในที่พิพาทเมื่อจำเลยที่ 2 เข้าทำนาพิพาทโจทก์ห้ามแต่จำเลยที่ 2 ไม่ฟังเป็นการทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้ทำนาแล้ว แม้โจทก์อายุมาก ทำนาเองไม่ได้ ก็ไม่เป็นเหตุให้อ้างได้ว่าโจทก์ไม่เสียหาย
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้อง ขอให้สั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่นาระหว่างนายคอบกับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่านายคอยเป็นผู้ทำนิติกรรมการโอนกับจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลชื่อนายคอยในสำนวนแสดงว่าเป็นคำขอที่พิมพ์คลาดเคลื่อน ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างนายคอบและจำเลยที่ 1 เสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดิน ส.ค.1 ที่ทำประโยชน์แล้ว การบังคับคดี และการจดทะเบียนโอนตามคำพิพากษา
เมื่อที่พิพาทมี ส.ค.1 แล้ว ก็แสดงว่าเป็นที่ดินที่มีผู้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่แล้ว ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5. และในเมื่อเป็นที่ที่ทำประโยชน์อยู่แล้วเช่นนี้ เพียงแต่มีคำรับรองจากนายอำเภอก็โอนกันได้ตามมาตรา 9. โดยมีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดินมาจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 72. ดังนั้นผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนตามคำพิพากษาตามยอมได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300. ด้วยเหตุนี้ แม้ที่ดินจะยังเป็นของจำเลยอยู่ก็ตาม แต่โจทก์ก็จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้นให้กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา287.(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2511).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินจากตราจองก่อน พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดิน และความชอบด้วยกฎหมายของหนังสือรับรองการทำประโยชน์
โจทก์ได้รับตราจองซึ่งตราว่า 'ทำประโยชน์แล้ว' ตั้งแต่ก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 บังคับใช้ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่วันได้รับตราจองตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 มาตรา 11 ตลอดมา
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยออกทับที่พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว และที่พิพาทอยู่ในเขตจังหวัดพิจิตร ฉะนั้น เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ของจำเลย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินจัดสรรนิคมสร้างตนเองต้องเข้าทำประโยชน์และมีเอกสารรับรองสิทธิ จึงจะพ้นจากการเป็นที่ดินสาธารณะ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเรือนในที่พิพาทของร้อยโทบุญเกิดซึ่งอ้างว่าได้รับจัดสรรจากนิคมสร้างตนเอง ดังนี้ ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 มาตรา 7, 8 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ที่ดินที่นิคมจัดสรรให้นั้น ผู้ที่ได้รับจัดสรรต้องเข้าครอบครองทำประโยชน์และปฏิบัติการอย่างอื่นอีกจนเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองว่าได้ทำประโยชน์ และได้รับโฉนดแผนที่หรือตราจองแล้ว จึงจะพ้นจากการเป็นที่หวงห้าม ตามข้อเท็จจริง ร้อยโทบุญเกิดยังไม่ได้รับโฉนดแผนที่หรือตราจอง ที่ดินรายนี้จึงยังไม่พ้นจากการเป็นที่หวงห้ามหรือนัยหนึ่งยังไม่เป็นของร้อยโทบุญเกิด ฉะนั้นหากจะฟังว่าร้อยโทบุญเกิดได้รับจัดสรรมา ก็ยังไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ ที่พิพาทยังไม่เป็นของร้อยโทบุญเกิด แม้จำเลยเข้าครอบครองก็ฟังไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนสิทธิหรือการครอบครองของร้อยโทบุญเกิด ร้อยโทบุญเกิดจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินมือเปล่าต้องได้รับคำรับรองการทำประโยชน์จากนายอำเภอก่อน จึงจะจดทะเบียนได้
ศาลจะบังคับให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนโอนที่ดินมือเปล่าซึ่งยังมิได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วไม่ได้
ความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497 ที่ยอมให้บุคคลที่ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินและผู้รับโอนที่ดินดังกล่าว มีสิทธิขอรับโฉนดที่ดินได้นั้น คำว่า "ผู้รับโอน"นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับโอนที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการออกโฉนดที่ดินโดยถูกต้องเสียก่อน แล้วผู้รับโอนนั้นจึงจะมีสิทธิมาขอรับโฉนดที่ดิน ฉะนั้น ที่ดินรายพิพาทซึ่งยังมิได้มีการโอนกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และยังเป็นที่ดินที่ไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงโอนกันมิได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 เพียงแต่บัญญัติรับรองสิทธิของผู้ซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลว่ามิเสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันกับเรื่องขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม อันจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และประมวลกฎหมายที่ดิน(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ น.ส.3 ไม่ใช่หลักฐานกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่เป็นเพียงการรับรองการทำประโยชน์และสิทธิในการโอน
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นเพียงคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว และให้โอนกันได้เท่านั้น หาใช่เป็นหลักฐานกรรมสิทธิ์ว่าผู้มีชื่อในหนังสือนั้นเป็นเจ้าของที่ดินทางทะเบียนเช่นโฉนดที่ดินไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672-675/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินมีตราจอง: การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมาย, การครอบครองปรปักษ์ และผลของตราจอง
ที่ดินมีตราจองออกโดยชอบเมื่อ พ.ศ.2465 และเมื่อพ.ศ.2468 ได้บันทึกไว้ว่าได้ทำประโยชน์แล้วต่อมาได้ถูกโอนกันมาหลายทอดจนกระทั่ง พ.ศ.2495 จึงตกมาเป็นของโจทก์โดยโจทก์รับซื้อฝากไว้โดยสุจริตจากจ. เจ้าของเดิม และการซื้อขายฝากนี้กระทำกันโดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานทะเบียนที่ดินจำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินรายเดียวกันนี้โดยจำเลยซื้อจากผู้อื่นเมื่อ พ.ศ.2484,2485 และ 2496 แต่สัญญาของจำเลยกระทำกันที่อำเภอจึงไม่ใช่เป็นการได้สิทธิโดยชอบทางทะเบียน เพราะที่ดินรายนี้มีตราจองแล้วการจดทะเบียนที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานทะเบียนที่ดินจำเลยจึงยกสิทธิในการที่ได้ซื้อที่ดินนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้
การที่มีหมายเหตุแจ้งไว้ในตราจองว่า เมื่อไม่ทำประโยชน์ ทอดทิ้งไว้เกิน 3 ปี ต้องเป็นที่ว่างเปล่านั้นเป็นเพียงระยะเวลาให้ทำประโยชน์เสียภายในกำหนด 3 ปีตราจองที่บันทึกว่าทำประโยชน์แล้วกฎหมายให้ถือว่าเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่ามีผลเท่ากับโฉนด ดังนั้นโจทก์จะเสียกรรมสิทธิก็ต่อเมื่อจำเลยได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์อันมีอายุความ 10 ปี ไม่ใช่กำหนดเวลา 3 ปีดังกล่าวนั้น โจทก์รับซื้อฝากไว้ได้เพียงประมาณ7 ปี แม้จำเลยจะครอบครองมาก่อนเกิน 10 ปีก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้
of 8