พบผลลัพธ์ทั้งหมด 71 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1998/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยเรื่องสาธารณสมบัติของแผ่นดินนอกประเด็นข้อพิพาท และการบังคับคดีตามคำพิพากษา
ปัญหาว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณา และไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ไม่ได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทั้งที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคดีปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนถึงแม้โจทก์จะไม่ได้ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4943/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินเลยคำฟ้องในคดีละเมิด การใช้ความระมัดระวังของบิดาต่อบุตรผู้เยาว์ และการนอกประเด็นตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานกระทำละเมิดโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำละเมิดโดยร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงบุตรโจทก์ตาย การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมกันจำเลยที่ 3 ในการใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่กลับพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 ในฐานะบิดาซึ่งมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลปล่อยให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์หยิบฉวยอาวุธปืนไปใช้ยิงผู้ตายจึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นการนอกฟ้อง นอกประเด็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142และปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการนำสืบข้อเท็จจริงนอกคำให้การ และประเด็นที่มิได้ว่ากล่าวกันในศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลย และชำระค่าเช่าซื้อแล้ว 192,000 บาท จำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลย ส่งมอบ รถยนต์หรือคืนค่าเช่าซื้อ การที่จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลย ไม่เคยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้ใช้เงินที่อ้างว่า ได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อ เป็นคำให้การที่ไม่ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ ที่ว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย จึงไม่มีประเด็นเรื่อง ค่าเช่าซื้อ และที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยให้โจทก์เช่ารถยนต์เดือนละ เท่าใด ก็เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานอกฟ้องนอกประเด็น: โจทก์เปลี่ยนฐานข้อกล่าวหาในชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ร่วมกันแทนกันว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์ จอดรถยนต์ มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นว่าจำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์ จอดรถตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มิได้ว่าจ้างโจทก์ โจทก์มิได้ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างโจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ เป็นการฎีกานอกฟ้องนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1058/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองนอกประเด็นคำให้การ ศาลต้องพิจารณาประเด็นตามที่คู่ความยกขึ้น
จำเลยให้การเกี่ยวกับการครอบครองว่า ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินถึงแม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองและอยู่อาศัยจะอ้างใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ แต่กรณีนี้จำเลยครอบครองและอยู่อาศัยตลอดมาเกินกว่า30 ปี จำเลยจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(1) ทั้งไม่มีข้อความตอนใดในคำให้การของจำเลยที่จะมีความหมายให้แปลได้ว่าจำเลยได้ยกประเด็นเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้ คำให้การของจำเลยจึงไม่มีประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานนอกประเด็น และการพิพากษาตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีสัญญากู้ยืม
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตาม สัญญากู้ยืม จำเลยให้การต่อสู้ คดีว่าโจทก์ให้จำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ ดังนี้จำเลยจึงมีสิทธินำสืบว่า พยานในแบบพิมพ์ดังกล่าวยังไม่มี ก. พยานโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อและมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งศาลกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อนจำเลยจึงไม่อาจถามค้านโจทก์ไว้ก่อนได้ การนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ เป็นการนำสืบนอกคำคู่ความและนอกประเด็น โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ 14,000 บาท ได้ความว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์3,532.25 บาท ดังนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตาม ที่ได้ความได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4495/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบนอกฟ้องและนอกประเด็นสำคัญทำให้ศาลไม่สามารถพิพากษาตามที่โจทก์ขอได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประกอบการค้าก๊าซและน้ำมันปิโตรเลียมแข่งขันกับโจทก์โดยใช้ชื่อบริษัท ย. สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขาย ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยให้การว่าไม่เคยใช้ชื่อบริษัท ย. สั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายโจทก์ไม่เสียหาย ไม่มีการชี้สองสถาน ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าจำเลยสั่งก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาขายเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือไม่ เมื่อโจทก์นำสืบว่าบริษัท ย. สั่งซื้อน้ำมันเตา น้ำมันขี้โล้ และน้ำมันก๊าดซึ่งไม่ใช่ก๊าซตามฟ้องจากผู้ขายในประเทศเองแล้วนำไปขาย จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นในเรื่องประเภทของเชื่อเพลิงและในเรื่องสถานที่ซื้อ ศาลไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ตามที่โจทก์นำสืบได้เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการชำระค่าจ้างว่าความนอกประเด็นฟ้อง, การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกินเลยขอบเขตที่จำเลยต่อสู้
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าจ้างว่าความ จำเลยให้การว่าตกลงค่าจ้างไม่ถึงจำนวนตามฟ้อง โดยมิได้ให้การต่อสู้ว่า ได้ชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์ไปบางส่วน จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบในข้อนี้ ศาลวินิจฉัยให้จำเลยชำระเงินบางส่วนตามที่จำเลยนำสืบ เป็นการนอกประเด็น จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1328/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบหลักฐานนอกประเด็นคดี: ศาลพิพากษาชอบแล้วหากข้อเท็จจริงเชื่อมโยงกับประเด็นที่กำหนด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่เคยซื้อหรือให้ตัวแทนซื้ออิฐจากโจทก์ และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความจะต้องนำสืบว่าจำเลยทั้งสองได้สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เมื่อโจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตึกแถว จำเลยที่ 2 เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนกันในการก่อสร้าง จำเลยที่ 1ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และศาลฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่รับว่าเป็นลูกจ้างของ ค. สามีจำเลยที่ 1เป็นผู้ควบคุมงาน ควบคุมอุปกรณ์ก่อสร้าง ส่วนไหนขาดก็สั่งเพิ่ม จำเลยทั้งสองได้สั่งซื้ออิฐไปจากโจทก์ตามฟ้อง ดังนี้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบและที่ศาลรับฟังมา จึงเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี ไม่เป็นการนอกประเด็น.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างแรงงาน: การอ้างเหตุนอกประเด็น & การเปลี่ยนแปลงเหตุเลิกจ้างในอุทธรณ์ เป็นเหตุให้ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
คำให้การของจำเลยอ้างเหตุแต่เพียงว่า โจทก์เล่นการพนันกับพนักงานในขณะทำงาน คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ขาดงานติดต่อกันเกิน 3วันหรือดื่มสุราในเวลาทำงานหรือไม่ แม้ทางพิจารณาจำเลยจะได้นำสืบถึงเหตุดังกล่าวก็เป็นการนำสืบนอกประเด็น
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์มีหน้าที่พิสูจน์อักษรแต่โจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรงทำให้การพิสูจน์อักษรในหนังสือฉบับพิเศษของหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจฉบับดีเด่นแห่งปี ประจำปี 2528 ผิดพลาดไป20แห่ง เป็นข้อผิดพลาดมากจำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจึงเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้เป็นการอ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 47(5) แต่อุทธรณ์ของจำเลยอ้างเหตุว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศฯดังกล่าวข้อ 47(2) ซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 31แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์มีหน้าที่พิสูจน์อักษรแต่โจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรงทำให้การพิสูจน์อักษรในหนังสือฉบับพิเศษของหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจฉบับดีเด่นแห่งปี ประจำปี 2528 ผิดพลาดไป20แห่ง เป็นข้อผิดพลาดมากจำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจึงเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้เป็นการอ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 47(5) แต่อุทธรณ์ของจำเลยอ้างเหตุว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศฯดังกล่าวข้อ 47(2) ซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 31แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522