พบผลลัพธ์ทั้งหมด 56 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอคุ้มครองประโยชน์ต้องไม่เกินคำขอในฟ้อง การยื่นขอสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคำฟ้อง ศาลไม่อาจบังคับได้
โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อ โจทก์เป็นเจ้าของสวนยางพิพาทร่วมกับกองมรดกของ จ. เท่านั้น มิได้ฟ้องขอเรียกค่าเสียหายมาด้วย การที่โจทก์ยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์ ในระหว่างพิจารณาโดย ขอให้ตั้ง ผู้จัดการสวนยางพิพาทให้เข้ากรีดยางแล้วนำรายได้7 ใน 8 ส่วนมาวางศาล หรือมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยประมูลรายได้จากการทำสวนยาง หากฝ่ายใดชนะให้ฝ่ายนั้นเข้าทำประโยชน์ในสวนยางแปลงพิพาทแล้วนำเงินรายได้ที่ประมูลมาวางศาล เป็นการยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้อง เป็นเรื่อง นอกฟ้องนอกประเด็น แม้โจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดีก็ไม่อาจขอให้ ศาลบังคับตาม คำขอได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอคุ้มครองประโยชน์ต้องอยู่ในขอบเขตคำฟ้อง การขอให้จำเลยวางเงินรายได้จากการทำสวนยางเป็นการขอเกินคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของสวนยางพิพาทร่วมกับกองมรดกของ จ. เท่านั้น มิได้ฟ้องขอเรียกค่าเสียหายมาด้วยการที่โจทก์ยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาโดยขอให้ตั้งผู้จัดการสวนยางพิพาทให้เข้ากรีดยางแล้วนำรายได้ 7 ใน 8 ส่วนมาวางศาลหรือมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยประมูลรายได้จากการทำสวนยางหากฝ่ายใดชนะให้ฝ่ายนั้นเข้าทำประโยชน์ในสวนยางแปลงพิพาทแล้วนำเงินรายได้ที่ประมูลมาวางศาล เป็นการยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้อง เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น แม้โจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดีก็ไม่อาจขอให้ศาลบังคับตามคำขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 777-778/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งกรรมสิทธิ์ที่ดินและการอ้างทางภารจำยอมที่ไม่ชอบด้วยฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทมาและได้ทำถนนดินลูกรังในที่ดินดังกล่าวใช้มาเกิน 10 ปีแล้ว ถนนดินลูกรังจึงตกเป็นทางภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 เมื่อฟ้องแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์อยู่แล้ว แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องและศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นในเรื่องทางภารจำยอมไว้ก็ตาม ก็เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น การนำสืบของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5748/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคุ้มครองประโยชน์ก่อนมีคำพิพากษาต้องสอดคล้องกับคำขอในฟ้อง หากนอกฟ้อง ศาลไม่อาจพิพากษาให้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแก้ชื่อให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินมรดกมิได้ฟ้องขอรับส่วนแบ่งผลประโยชน์ในที่ดินมรดกจากจำเลย แม้โจทก์ชนะคดี ศาลก็ไม่อาจพิพากษาให้จำเลยแบ่งผลประโยชน์จากที่ดินมรดกให้โจทก์ได้ เพราะเป็นการนอกฟ้องและเกินคำขอ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้จำเลยนำค่าเช่าที่ดินมรดกที่พิพาทมาวางศาล หรือให้ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ในที่ดินมรดกระหว่างพิจารณาได้ ทั้งนี้เพราะวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 นั้น หมายถึงประโยชน์ที่ผู้ขอจะได้รับตามคำพิพากษาเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3763/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาทเลินเล่อของหัวหน้าแผนกการเงินที่ไม่ได้ตรวจสอบเงินรับ-จ่าย และขอบเขตความรับผิดนอกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกการเงินของโจทก์ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แทนโจทก์แล้วไม่ส่งให้โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นใช้เงินคืนโจทก์เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ดังฟ้อง เพียงแต่จำเลยที่ 1ประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยอื่นเอาเงินของโจทก์ไป ซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุละเมิดดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3763/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาทเลินเล่อของหัวหน้าแผนกการเงิน และขอบเขตความรับผิดนอกเหนือจากที่ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกการเงินของโจทก์ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แทนโจทก์แล้วไม่ส่งให้โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นใช้เงินคืนโจทก์เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ดังฟ้อง เพียงแต่จำเลยที่ 1ประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยอื่นเอาเงินของโจทก์ไป ซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุละเมิดดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3820/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแขวงคดีอาญา, การนอกฟ้อง, และข้อจำกัดการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 และมาตรา 22(5)ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาคดีอาญาที่มีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกิน3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 มีเพียงโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกวันละ 500 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนมิใช่เป็นบทกำหนดโทษปรับเกินกว่า 60,000 บาท แม้โทษปรับรายวันเมื่อรวมกันแล้วจะเกิน 60,000 บาท ศาลแขวงก็ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ ดังนั้นที่ศาลพิพากษาให้ปรับรายวันจนกว่าจะรื้อถอนอาคารโดยไม่คำนึงว่าเมื่อรวมค่าปรับทั้งหมดแล้วจะเกิน 60,000 บาทหรือไม่ จึงชอบที่จะทำได้ และศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาแก้โทษปรับให้ถูกต้องตามกฎหมายได้แม้จะเป็นการเพิ่มโทษก็หามีบทกฎหมายห้ามไว้ไม่ ฟ้องโจทก์มุ่งหมายจะให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เฉพาะความผิดฐานชัดคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 42 วรรคสอง และมาตรา 65 เท่านั้นหาได้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 21 ด้วยไม่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ เพราะเป็นการนอกเหนือหรือเกินไปกว่าคำฟ้องของโจทก์ จำเลยเพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาว่า จำเลยเข้าครอบครองที่สาธารณะโดยการปลูกสร้างอาคารก่อนที่ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522จะใช้บังคับ กรณีต้องด้วยมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องกำหนดเวลารื้อถอนให้จำเลยไม่น้อยกว่า6 เดือน เช่นนี้ข้อฎีกาของจำเลยเป็นการเถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้คู่ความต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาดังกล่าวของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบา เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3410/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขอถอนคืนการให้เนื่องจากผู้รับไม่เลี้ยงดูและประพฤติเนรคุณ ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้องและฐานะผู้ยากไร้ของผู้ฟ้อง
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยแจ้งตำรวจให้จับ ฮ. และ ช. เป็นเรื่องจำเลยลองแกล้งแจ้งความเพื่อให้โจทก์อายไม่กล้าใช้ใครไปเก็บมะม่วงอีก และให้ตำรวจจับโจทก์ในฐานะจ้างวานใช้ด้วยนั้น เป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น โดยโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า โจทก์ใช้ให้ ฮ. ไปเก็บมะม่วง จำเลยแจ้งความให้ตำรวจจับโจทก์ โจทก์มิได้กล่าวอ้างในฟ้องดังฎีกาของโจทก์ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
แม้โจทก์จะชรามากแล้ว แต่โจทก์มีเงินฝากธนาคารออมสินมีรายได้จากการให้เช่านาเนื้อที่ 7 ไร่ปีละประมาณ 700 - 1,500 บาทมีรายได้จากการขายมะพร้าววันละ 30 - 40 บาท รวมเป็นรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 บาทเศษ ฟังไม่ได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่ตกเป็นผู้ยากไร้ถึงขนาดที่ไม่มีสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(3)
แม้โจทก์จะชรามากแล้ว แต่โจทก์มีเงินฝากธนาคารออมสินมีรายได้จากการให้เช่านาเนื้อที่ 7 ไร่ปีละประมาณ 700 - 1,500 บาทมีรายได้จากการขายมะพร้าววันละ 30 - 40 บาท รวมเป็นรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 บาทเศษ ฟังไม่ได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่ตกเป็นผู้ยากไร้ถึงขนาดที่ไม่มีสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3410/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคืนการให้เนื่องจากผู้รับไม่ให้ความช่วยเหลือผู้ให้ยากไร้ และประเด็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยแจ้งตำรวจให้จับ ฮ.และช. เป็นเรื่องจำเลยลองแกล้งแจ้งความเพื่อให้โจทก์ อายไม่กล้าใช้ใครไปเก็บมะม่วงอีกและให้ตำรวจจับโจทก์ในฐานะจ้างวานใช้ด้วยนั้น เป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น โดยโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าโจทก์ใช้ให้ ฮ. ไปเก็บมะม่วง จำเลยแจ้งความให้ตำรวจจับโจทก์ โจทก์มิได้กล่าวอ้างในฟ้องดังฎีกาของโจทก์ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
แม้โจทก์จะชรามากแล้ว แต่โจทก์มีเงินฝากธนาคารออมสินมีรายได้จากการให้เช่านาเนื้อที่ 7 ไร่ปีละประมาณ700-1,500 บาท มีรายได้จากการขายมะพร้าววันละ 30-40 บาท รวมเป็นรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 บาทเศษ. ฟังไม่ได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่ตกเป็นผู้ยากไร้ถึงขนาดที่ไม่มีสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืน การให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(3)
แม้โจทก์จะชรามากแล้ว แต่โจทก์มีเงินฝากธนาคารออมสินมีรายได้จากการให้เช่านาเนื้อที่ 7 ไร่ปีละประมาณ700-1,500 บาท มีรายได้จากการขายมะพร้าววันละ 30-40 บาท รวมเป็นรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 บาทเศษ. ฟังไม่ได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่ตกเป็นผู้ยากไร้ถึงขนาดที่ไม่มีสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืน การให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1997/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนอกฟ้องนอกประเด็น: ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่กำหนดไว้ในคำฟ้องและข้อโต้แย้งเท่านั้น
กรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ในการวินิจฉัยคดีใหม่ ศาลชั้นต้นและและอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยตามประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ได้กำหนดไว้