พบผลลัพธ์ทั้งหมด 73 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีแทนกันได้ในคดีแรงงาน: การเบิกความแทนโจทก์อื่นย่อมถือว่าเป็นการนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์นั้น
แม้โจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 6 มิได้มาเบิกความต่อศาล แต่โจทก์ทั้งสองได้แต่งตั้งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้แทนในการดำเนินคดีกระบวนพิจารณาใดที่โจทก์ที่ 1 กระทำต่อศาลหรือต่อจำเลยจึงถือว่าโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 6 กระทำต่อศาลและต่อจำเลยแล้วเช่นกัน คดีนี้โจทก์ที่ 1 ได้มาเบิกความต่อศาลและเบิกความถึงฐานะของโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 6 ว่า โจทก์ที่ 4และโจทก์ที่ 6 มีวันเข้าทำงานตำแหน่งหน้าที่ อัตราเงินเดือนและวันออกจากงานตามที่ระบุไว้ตามบัญชีท้ายฟ้อง และเบิกความว่า โจทก์ทั้งสองถูกจำเลยเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ดังนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 6 โดยโจทก์ที่ 1 ได้นำสืบพยานหลักฐานตามประเด็นข้อพิพาทตามหน้าที่ของโจทก์ที่4 และโจทก์ที่ 6 แล้ว โดยหาต้องมาเบิกความด้วยตนเองไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นตัวแทน สัญญาซื้อขาย และการนำสืบพยาน: กรณีตัวแทนสั่งซื้อสินค้าแล้วบริษัทไม่รับ
จำเลยที่ 2 ได้ติดต่อขอซื้อสินค้าจากโจทก์โดยแจ้งว่าเป็นตัวแทนของบริษัทในต่างประเทศ และได้ทำสัญญาสั่งซื้อกับโจทก์ตรวจสอบสินค้าและออกใบรับรองการตรวจสินค้าให้โจทก์ ซึ่งเป็นการ กระทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทในต่างประเทศ จำเลยที่ 2จึงเป็นตัวแทนของบริษัทดังกล่าวในการซื้อสินค้าจากโจทก์ ต้องรับผิดตามสัญญาที่ทำกับโจทก์ แม้โจทก์ให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2ด้วยก็เพราะจำเลยที่ 2 นำผลประโยชน์ทางการค้ามาให้โจทก์ หาทำให้ จำเลยที่ 2 กลายเป็นนายหน้าของโจทก์ไม่ โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าสินค้า จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่า การที่โจทก์ไม่ได้รับชำระเป็นความผิดของโจทก์ที่มิได้ปฏิบัติตามสัญญา แต่มิได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธว่าโจทก์ผิดสัญญาอย่างไร จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การ ส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2016/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาเช่า และข้อยกเว้นการมีหลักฐานเป็นหนังสือสำหรับตัวแทนเชิด
จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวในนามของตนเองเป็นผู้เช่าจากโจทก์จำเลยและจำเลยร่วมจะนำสืบพยานบุคคลว่าที่จำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าเป็นการกระทำแทนจำเลยร่วม จำเลยเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยร่วมไม่ได้เพราะเท่ากับนำสืบว่าความจริงจำเลยไม่ใช่ผู้เช่า แต่จำเลยร่วมเป็นผู้เช่า จึงเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาเช่าต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2016/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเปลี่ยนแปลงข้อความในสัญญาเช่า: ข้อห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข)
จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวในนามของตนเองเป็นผู้เช่าจากโจทก์จำเลยและจำเลยร่วมจะนำสืบพยานบุคคลว่าที่จำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าเป็นการกระทำแทนจำเลยร่วม จำเลยเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยร่วมไม่ได้เพราะเท่ากับนำสืบว่าความจริงจำเลยไม่ใช่ผู้เช่า แต่จำเลยร่วมเป็นผู้เช่า จึงเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาเช่า ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานหักล้างเอกสารสัญญาจะซื้อจะขาย และการเลิกสัญญาเนื่องจากผิดสัญญา
สัญญาจะซื้อจะขายมีใจความว่า จำเลยผู้จะซื้อที่ดินและบ้านจากโจทก์ผู้จะขายในราคา 430,000 บาท โดยกำหนดเวลาชำระเงินเป็น 3 งวด งวดที่ 1 ชำระในวันที่ 31 มกราคม 2522 เป็นเงิน120,000 บาท งวดที่ 2 ชำระในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นเงิน110,000 บาท งวดที่ 3 ชำระในวันโอนเป็นเงิน 200,000 บาท และในข้อ 2 แห่ง สัญญานี้ได้ระบุว่า ในการจะซื้อจะขายนี้ผู้จะซื้อได้วาง มัดจำให้ผู้จะขายไว้แล้วเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้จะขายได้รับเงินมัดจำไว้ถูกต้องแล้ว เช่นนี้ การที่โจทก์นำสืบว่าเงิน120,000 บาท ที่ระบุในสัญญานี้ความจริงไม่ได้จ่ายเป็นเงินสดแต่ได้จ่ายเป็นเช็คและเช็คดังกล่าวภายหลังโจทก์ก็ได้คืนให้จำเลยไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบอธิบายข้อความในเอกสาร ไม่ใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเอกสาร
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสด จำนวน200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็น การนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เอง ศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงอย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสด จำนวน200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็น การนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เอง ศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงอย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่ออธิบาย/หักล้างเอกสารสัญญาจะซื้อจะขาย และสิทธิในการเลิกสัญญา
สัญญาจะซื้อจะขายมีใจความว่า จำเลยผู้จะซื้อที่ดินและบ้านจากโจทก์ผู้จะขายในราคา 430,000 บาท โดยกำหนดเวลาชำระเงินเป็น 3 งวด งวดที่ 1 ชำระในวันที่ 31 มกราคม 2522 เป็นเงิน 120,000 บาท งวดที่ 2 ชำระในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นเงิน 110,000 บาท งวดที่ 3 ชำระในวันโอนเป็นเงิน 200,000 บาท และในข้อ 2 แห่ง สัญญานี้ได้ระบุว่า ในการจะซื้อจะขายนี้ผู้จะซื้อได้วาง มัดจำให้ผู้จะขายไว้แล้วเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้จะขายได้รับเงินมัดจำไว้ถูกต้องแล้ว เช่นนี้ การที่โจทก์นำสืบว่าเงิน 120,000 บาท ที่ระบุในสัญญานี้ความจริงไม่ได้ จ่ายเป็นเงินสดแต่ได้จ่ายเป็นเช็ค และเช็คดังกล่าวภายหลังโจทก์ก็ได้คืนให้จำเลยไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบ ได้เพราะเป็นการนำสืบอธิบายข้อความในเอกสาร ไม่ใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเอกสาร
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสดจำนวน 200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน 20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เองศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง อย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสดจำนวน 200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน 20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เองศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง อย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3055/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้, การชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย, และการนำสืบพยานนอกประเด็น
คำให้การจำเลยได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า หนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกได้หักกลบลบหนี้กับหนี้ค่าที่ดินที่จำเลยขายให้โจทก์ครั้งแรก แต่จำเลยกลับนำสืบว่าได้หักหนี้กับหนี้ค่าที่ดินที่จำเลยขายให้โจทก์ครั้งหลังที่ทำในรูปสัญญาเช่าซื้อซึ่งเป็นหนี้คนละรายกัน ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ เพราะเป็นข้อนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้
ข้อที่ว่าจำเลยมิได้ยื่นต่อศาลและส่งให้แก่โจทก์ซึ่งสำเนาเอกสารก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันนั้น เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านเสียภายในแปดวันนับแต่วันที่จำเลยส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคสอง โจทก์เพิ่งยกปัญหานี้ขึ้นมาโต้แย้งคัดค้านในชั้นฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ในกรณีที่หนี้ที่ต้องชำระมีทั้งดอกเบี้ยและหนี้อันเป็นประธาน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 มิได้บังคับว่าลูกหนี้จะขอชำระหนี้อันเป็นประธานโดยยังไม่ชำระดอกเบี้ยไม่ได้เสียเลย เพียงแต่เจ้าหนี้มีสิทธิบอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ได้เท่านั้น เมื่อจำเลยขอชำระเงินต้นโดยไม่ชำระดอกเบี้ย โจทก์มิได้บอกปัดไม่ยอมรับชำระเงินต้น กลับยอมรับชำระหนี้ไว้ จึงถือว่าจำเลยชำระเงินต้นให้แก่โจทก์แล้ว คงค้างชำระเฉพาะดอกเบี้ย
ข้อที่ว่าจำเลยมิได้ยื่นต่อศาลและส่งให้แก่โจทก์ซึ่งสำเนาเอกสารก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันนั้น เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านเสียภายในแปดวันนับแต่วันที่จำเลยส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคสอง โจทก์เพิ่งยกปัญหานี้ขึ้นมาโต้แย้งคัดค้านในชั้นฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ในกรณีที่หนี้ที่ต้องชำระมีทั้งดอกเบี้ยและหนี้อันเป็นประธาน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 มิได้บังคับว่าลูกหนี้จะขอชำระหนี้อันเป็นประธานโดยยังไม่ชำระดอกเบี้ยไม่ได้เสียเลย เพียงแต่เจ้าหนี้มีสิทธิบอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ได้เท่านั้น เมื่อจำเลยขอชำระเงินต้นโดยไม่ชำระดอกเบี้ย โจทก์มิได้บอกปัดไม่ยอมรับชำระเงินต้น กลับยอมรับชำระหนี้ไว้ จึงถือว่าจำเลยชำระเงินต้นให้แก่โจทก์แล้ว คงค้างชำระเฉพาะดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงนอกสัญญาเช่าซื้อ: ศาลอนุญาตให้จำเลยนำสืบพยานได้หากพิสูจน์ได้ว่าข้อตกลงครอบคลุมการติดตั้งพัดลมดูดอากาศ
แม้ในสัญญาเช่าซื้อเครื่องปรับอากาศมิได้ระบุว่าผู้ขายมีหน้าที่ต้องติดตั้งพัดลมดูดอากาศให้แก่ผู้ซื้อด้วย การที่ผู้ซื้อจะนำสืบพยานบุคคลและพยานหลักฐานอื่นอธิบายให้เห็นว่าข้อตกลงในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศตามสัญญาเช่าซื้อได้รวมถึงการที่ผู้ขายจะต้องทำการติดตั้งพัดลมดูดอากาศให้ด้วย หาใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมจากสัญญาเช่าซื้ออันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาส่งผลให้การนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
สัญญาจะซื้อขายที่ดินมิได้กำหนดเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจะต้องออกค่าธรรมเนียมในการโอนไว้ในสัญญาด้วยดังนั้นการที่จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าโจทก์ตกลงกับจำเลยว่าจะออกค่าธรรมเนียมในการโอน และเมื่อโจทก์ไม่ยอมออกค่าธรรมเนียมดังกล่าว ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้นเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญาจะซื้อขาย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2250/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์ความไม่สมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย โดยอ้างสำคัญผิดในสารสำคัญแห่งนิติกรรม
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้าน โดยอ้างว่าจำเลยหลอกลวงให้ลงลายมือชื่อในสัญญาโดยบอกว่าเป็นสัญญาจำนอง โจทก์ลงลายมือชื่อไปโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งนิติกรรม โจทก์มีสิทธินำสืบพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง เพราะเป็นการนำสืบว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวไม่สมบูรณ์หรือเป็นโมฆะ