คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บาดแผล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 339 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การพิจารณาจากอาวุธ, บาดแผล และสถานการณ์
จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อนแต่ไม่รุนแรงมากถึงกับคิดจะฆ่าผู้เสียหายแม้มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายเป็นมีดปลายแหลมคมมีดยาวประมาณ7นิ้วแต่จำเลยแทงไม่แรงและบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่มือจำเลยไม่สามารถเลือกแทงได้จำเลยจึงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การพิจารณาจากอาวุธบาดแผลและสถานการณ์
จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อนแต่ไม่รุนแรงมากถึงกับคิดจะฆ่าผู้เสียหายแม้มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายเป็นมีดปลายแหลมคมมีดยาวประมาณ7นิ้วแต่จำเลยแทงไม่แรงและบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่มืดจำเลยไม่สามารถเลือกแทงได้จำเลยจึงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4402/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายภริยาและการฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1516(3) ศาลพิจารณาความร้ายแรงของบาดแผลเป็นเหตุในการตัดสิน
จำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายศาลพิพากษาลงโทษปรับจำเลย1,000บาทโจทก์มิได้นำแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลมาเบิกความว่าโจทก์ได้รับบาดเจ็บมากน้อยเพียงใดการที่ศาลพิพากษาลงโทษปรับเพียง1,000บาทแสดงว่าบาดแผลที่โจทก์ได้รับไม่เป็นอันตรายร้ายแรงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นการร้ายแรงอันเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การประเมินจากพฤติการณ์และบาดแผล
ผู้เสียหายกับพวกและจำเลยกับพวกดื่มสุราด้วยกัน แล้วมีปากเสียงกัน มีคนเข้าห้ามปราม จึงแยกย้ายกันไป หลังจากนั้นเมื่อพบกันมีการปรับความเข้าใจและมีปากเสียงกันอีก ผู้เสียหายตบจำเลยที่บริเวณท้ายทอย1 ที พฤติการณ์ดังกล่าวไม่ร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกัน ประกอบกับจำเลยแทงผู้เสียหายในทันทีนั้นเพียง 1 ครั้ง แล้วหลบหนีไปโดยไม่ได้แทงซ้ำอีก แม้จะแทงบริเวณหน้าอกข้างขวาใต้ราวนมอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย แต่บาดแผลของผู้เสียหายมีเพียงเลือดออกในผนังหน้าอก ไม่ได้ลึกถึงอวัยวะสำคัญแสดงว่าจำเลยไม่ได้แทงอย่างแรง กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายต้องพักรักษาตัวเกินกว่า 20 วัน จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 (8)
การที่ผู้เสียหายตบจำเลยที่บริเวณท้ายทอย 1 ที ยังไม่พอจะถือว่าเป็นการหยามหน้ากัน อันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมที่จำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายจึงไม่ใช่เพราะเหตุบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7574/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความตายจากบาดแผลถูกยิงเชื่อมโยงกับการกระทำของจำเลย
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ผู้ตายถูกกระสุนที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับราวนม กระสุนปืนทะลุกะบังลม ม้าม กระเพาะอาหารไขสันหลัง กระสุนฝังอยู่ที่ไขสันหลัง แพทย์ผ่าตัดเอาออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วันบาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาที่บ้านเพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้แพทย์ผู้รักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าเหตุที่ระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตของผู้ตายล้มเหลวจะเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาต แต่การที่ขาทั้งสองข้างของผู้ตายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่มาก และอาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพขอังร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งผู้ตายก็ถึงแก่ความตายหลังจากถูกยิงประมาณ 4 เดือนเศษ อันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายต้องรักษาตัวสืบเนื่องกันตลอดมานับแต่ถูกยิง ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7574/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความตายจากบาดแผลถูกยิงเป็นเหตุโดยตรง แม้มีปัจจัยอื่นเสริม ศาลฎีกาพิพากษาความรับผิดทางอาญา
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ผู้ตายถูกกระสุนที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับราวนม กระสุนปืนทะลุกะบังลมม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง กระสุนฝังอยู่ที่ไขสันหลังแพทย์ผ่าตัดเอาออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้านเพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้แพทย์ผู้รักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าเหตุที่ระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตของผู้ตายล้มเหลวจะเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาต แต่การที่ขาทั้งสองข้างของผู้ตายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่ มาก และอาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งผู้ตายก็ถึงแก่ความตายหลังจากถูกยิงประมาณ 4 เดือนเศษอันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายต้องรักษาตัวสืบเนื่องตลอดมานับแต่ถูกยิง ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7574/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความตายจากบาดแผลกระสุนปืนและการรักษาพยาบาล: ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย กระสุนปืนถูกที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับนมทะลุกะบังลม ม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง และฝังอยู่ที่ไขสันหลัง แพทย์ผ่าตัดเอากระสุนปืนออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้าน เพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตายหลังออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ทำการรักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าสาเหตุการตายเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาตแต่การที่ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานเพราะเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้เนื่องจากขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพกย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่มาก อาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6581/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความร้ายแรงของบาดแผลเพื่อกำหนดความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ – อันตรายแก่กาย
ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผลรอยแดงๆบวมช้ำเส้นผ่าศูนย์กลาง1เซนติเมตรรักษาประมาณ3วันหายยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายจำเลยคงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์โดยมีอาวุธในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339วรรคสองไม่ใช่มาตรา339วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3127/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ฆ่า ขวาน-ค้อนขนาดเล็ก บาดแผลหายได้ ไม่เป็นอันตรายฉกรรจ์
แม้จำเลยใช้ขวานและค้อนเป็นอาวุธฟันและตีทำร้ายผู้เสียหายทั้งสอง แต่สาเหตุของการทำร้ายไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเกิดเหตุ สาเหตุการทำร้ายเป็นเพราะความไม่พอใจกันในหมู่ญาติ ขณะเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ต่างมีอาการเมาสุราและสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เมื่อมีผู้ห้ามต่างก็เลิกรากันไป ทั้งขนาดของคมขวานยาว 3 นิ้ว สันขวานหนาเพียง 1 นิ้วครึ่ง เป็นขวานขนาดเล็ก เฉพาะความยาวของขวานรวมทั้งด้ามมีความยาว 14 นิ้วครึ่ง ส่วนขนาดของค้อนไม่ปรากฏและแม้จะปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่หางคิ้วซ้ายยาว 1.5 เซนติเมตรลึกถึงกระดูก บาดแผลที่เหนือท้ายทอยยาว 3 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก กับบาดแผลฉีกขาดที่ริมฝีปากด้านบนยาว 4 เซนติเมตร ส่วนผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณศีรษะด้านหน้ายาว 5 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกก็ตาม แต่บาดแผลของผู้เสียหายที่ 1และที่ 2 หายเป็นปกติภายใน 10 วัน และ 7 วัน ไม่ถือว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้ขวานฟันและใช้ค้อนตีผู้เสียหายทั้งสองโดยแรง ดังนี้ จำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาฆ่า
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 ไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำฟ้อง
โทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 2 ปี จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ ตาม ป.อ. มาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2723/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาบาดแผลและการเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของผู้สูงอายุ
จำเลยชิงทรัพย์ผู้ตายโดยใช้กำลังประทุษร้าย แพทย์ตรวจบาดแผลในชั้นแรกระบุว่ามีบาดแผลที่หางคิ้ว ศีรษะด้านหน้า โคนลิ้นด้านล่างแขนซ้ายบวมช้ำแดง สมองได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย รักษาตัวในโรงพยาบาล 37 วัน แล้วถึงแก่ความตาย ระหว่างนั้นไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้รับอุบัติเหตุเพิ่มเติม แพทย์ตรวจชันสูตรพลิกศพพบว่าซี่โครงหัก 6 ซี่ มีน้ำในช่องปอดระบุว่าผู้ตายถูกทำร้ายได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง และลำตัวบอบช้ำมากเชื่อได้ว่าเกิดจากการทำร้ายของจำเลย ประกอบกับชราภาพอาการบาดเจ็บทรุดหนักทำการรักษาลำบาก หากชราภาพและไม่ได้รับการกระทบกระเทือนก็จะไม่ตาย ดังนี้เห็นได้ว่าการตายเป็นผลจากการประทุษร้ายของจำเลยซึ่งเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 63 จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
of 34