พบผลลัพธ์ทั้งหมด 787 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: บุกรุกเพื่อข่มขู่เป็นกรรมเดียว
จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านพักของผู้เสียหายก็เพื่อข่มขู่ผู้เสียหายให้ตกใจกลัวโดยใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหายที่ศีรษะและพูดขู่เข็ญผู้เสียหายว่าจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวเพื่อข่มขู่ผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์จะแยกบรรยายการกระทำผิดของจำเลยมาในฟ้องเป็น 2 ข้อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน และแม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1792/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีบุกรุกทิ้งขยะซ้ำกับคดีดำเนินกิจการเก็บขนขยะโดยไม่ได้รับอนุญาต
ระยะเวลาเกิดเหตุและสถานที่เกิดเหตุในความผิดข้อหาดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กับความผิดตามฟ้องคดีนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ โดยจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของผู้เสียหาย และนำขยะไปทิ้งในที่ดินดังกล่าวตรงกัน อีกทั้งการกระทำของจำเลยในทั้งสองคดีเป็นครั้งเดียวกัน แม้ฐานความผิดจะต่างกัน ก็เป็นความผิดกรรมเดียว เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในการกระทำความผิดข้อหาดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจนศาลพิพากษาลงโทษปรับและคดีถึงที่สุดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก แม้จะไม่อ้างบทลงโทษตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุขฯ ก็เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: บุกรุกเคหสถานเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา ศาลยืนตามศาลอุทธรณ์
จำเลยงัดกลอนประตูบ้านและใช้กำลังผลักดันบานประตูจนเปิดออกแล้วเข้าไปในบ้านอันเป็นการกระทำความผิดฐานบุกรุกเคหสถานสำเร็จแล้วบทหนึ่ง หลังจากนั้นจำเลยใช้กำลังชกต่อยกอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 จนสำเร็จความใคร่ 2 ครั้ง อันเป็นการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราสำเร็จอีกบทหนึ่ง แต่การกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว ได้กระทำในวาระเดียวกันและต่อเนื่องเชื่อมโยงติดต่อกันไปโดยไม่ขาดตอน แสดงว่าจำเลยมุ่งประสงค์ที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 เป็นสำคัญ มิได้เจตนาแยกการกระทำความผิดของตนเป็นรายกรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12482/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุกและอนาจาร: ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและพฤติการณ์แสดงความรัก ทำให้ขาดเจตนาความผิด
ผู้เสียหายและจำเลยเคยมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว ในวันเกิดเหตุจำเลยมาหาผู้เสียหายที่บ้านและกอดรัดผู้เสียหายในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แม้ผู้เสียหายจะปฏิเสธและจำเลยไม่เลิกราก็น่าจะเป็นเพราะจำเลยต้องการแสดงความรักต่อผู้เสียหายตามวิสัยชายที่มีต่อหญิงที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาบุกรุกและขาดเจตนาอนาจารผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6986/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานบุกรุกที่สาธารณประโยชน์: การกระทำต่างกรรมต่างวาระไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์เคยฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุก ยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์เนื้อที่ 9 ไร่เศษ โดยปลูกบ้านอยู่อาศัยและปลูกต้นไม้ยืนต้น ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ใช้บังคับ คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์หลังจากประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้วเป็นการครอบครองสืบเนื่องมาก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ใช้บังคับ โดยจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 แต่ยกคำขอให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีนี้ว่า จำเลยเข้าไปยึดถือ ครอบครองก่นสร้างที่ดินสาธารณประโยชน์ โดยใช้รถไถเข้าไปไถปรับที่ดินเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ภายหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ใช้บังคับแล้ว อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1), 108 ทวิ วรรคสอง การกระทำในคดีนี้จึงต่างกรรมต่างวาระแยกต่างหากจากการกระทำในคดีก่อน และความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 กับมาตรา 108 ทวิ มีองค์ประกอบแตกต่างกัน การกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้กับคดีก่อนจึงไม่ใช่ความผิดกรรมเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุกรุกเคหสถาน-กระทำอนาจาร: การกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว
จำเลยที่ 1 นำบันไดวางริมหน้าต่างชั้นบนบ้านผู้เสียหายและปีนไปเรียกผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายเปิดประตูออกมา จำเลยที่ 1 กอดอุ้มผู้เสียหายและกระทำอนาจารปลุกปล้ำผู้เสียหายที่บริเวณสนามหญ้าข้างหน้าบ้านพักผู้เสียหาย แม้สนามหญ้ากับบ้านพักไม่มีรั้วล้อมรอบ และไม่มีเครื่องหมายแสดงว่าเป็นแนวเขตของบ้านพักแต่ก็อยู่ข้างหน้าบ้านพักซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายในเวลากลางคืนอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขและกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นการกระทำต่อเนื่องไม่ขาดตอนกัน จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุก-พยายามลักทรัพย์: พฤติการณ์นั่งพัก-จับแฮนด์รถไม่พอฟัง
คืนเกิดเหตุอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์จำเลยที่ 3 เมาสุราแล้วอาเจียนจำเลยที่ 1จอดรถให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลง แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 พากันเข้าไปนั่งที่ม้านั่งหน้าบ้านผู้เสียหายซึ่งประตูรั้วบ้านเปิดอยู่ พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นการถือวิสาสะ เพราะความมึนเมาสุราและไม่สามารถบังคับจิตใจตนเองได้ เมื่อนั่งอยู่ประมาณ 5 นาที อาจจะด้วยความคึกคะนอง จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงลุกขึ้นและเดินไปเอามือจับแฮนด์รถจักรยานยนต์ โดยยังไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำการใดอันมีลักษณะที่จะติดเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ และไม่ปรากฏว่าพบเครื่องมือใด ๆ ในตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน และลงมือกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 2และที่ 3 กระทำความผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6431/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชิงทรัพย์และการกระทำความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์, บุกรุกเคหสถาน, และการใช้ไฟฟ้าทำร้ายผู้อื่น
จำเลยใช้สายไฟที่ตัดจากสายพัดลมต่อปลั๊กไฟในบ้านจี้ไปที่บริเวณหัวไหล่และต้นแขนขวาของผู้เสียหาย แล้วจำเลยวิ่งไปสับคัตเอาท์ที่ด้านหลังบ้านโดยไม่หลบหนีไปทันทีแต่กลับมาพูดขู่ผู้เสียหาย ซึ่งหากจำเลยประสงค์จะเอาชีวิตของผู้เสียหายก็ย่อมกระทำได้เพราะมีเวลามากพอ การที่จำเลยกลับมาพูดขู่ผู้เสียหายแทนที่จะหลบหนีไปแสดงให้เห็นว่าการไปสับคัตเอาท์ดับไฟนั้นไม่ใช่เพราะเกรงว่าผู้เสียหายจะจำหน้าได้หรือเพื่อป้องกันการติดตาม จำเลยจึงมีเจตนากระทำเพียงเพื่อให้ผู้เสียหายสลบไปและไม่อาจคาดหมายได้ว่าการกระทำเช่นนั้นอาจมีผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365ประกอบด้วยมาตรา 362 แต่คดีได้ความว่าจำเลยบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนอันเป็นความผิดตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 แม้โจทก์จะมิได้ระบุมาตรา 364 มาในคำขอท้ายฟ้องแต่โจทก์ได้บรรยายถึงการบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนมาในฟ้องแล้ว จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลชอบที่จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 ที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
ปลั๊กไฟพร้อมสายไฟ 1 เส้น ของกลางที่โจทก์มีคำขอให้ริบ เป็นทรัพย์สินในบ้านเช่าที่ผู้เสียหายพักอาศัย เมื่อเจ้าของไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงไม่ใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365ประกอบด้วยมาตรา 362 แต่คดีได้ความว่าจำเลยบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนอันเป็นความผิดตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 แม้โจทก์จะมิได้ระบุมาตรา 364 มาในคำขอท้ายฟ้องแต่โจทก์ได้บรรยายถึงการบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนมาในฟ้องแล้ว จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลชอบที่จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 ที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
ปลั๊กไฟพร้อมสายไฟ 1 เส้น ของกลางที่โจทก์มีคำขอให้ริบ เป็นทรัพย์สินในบ้านเช่าที่ผู้เสียหายพักอาศัย เมื่อเจ้าของไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงไม่ใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5345/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเกี่ยวกับฐานบุกรุก: ศาลฎีกาวินิจฉัยการกระทำเข้าข่ายความผิดฐานแจ้งความเท็จ
โจทก์และจำเลยรู้จักกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดย พ. สามีโจทก์เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยมาก่อน และก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยและ ว. ซึ่งเป็นภริยาจำเลยได้ตกลงซื้อกิจการท่าทรายจากบริษัท ส. โดยมี ฉ. กรรมการผู้มีอำนาจในราคา16,000,000 บาท โดยจำเลยและ ว. วางมัดจำไว้ 500,000 บาท ที่เหลือจำเลยและว. สั่งจ่ายเช็คจำนวน 14 ฉบับให้แก่ ส. เพื่อชำระหนี้ ต่อมาเช็คฉบับเดือนตุลาคม2538 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ฉ. จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยและ ว. โดยมอบอำนาจให้โจทก์ซึ่งเป็นพี่สาวเป็นผู้ชี้ตัวและดำเนินคดีแก่จำเลยและ ว. ดังนั้น การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยและ ว. เจ้าของตู้คอนเทนเนอร์ในที่เกิดเหตุเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ซึ่งมีการร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว จึงสามารถทำได้ตามกฎหมายและขณะที่โจทก์เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งจำเลยใช้เป็นที่ทำการและที่อยู่อาศัยเพื่อชี้ตัวจำเลยและ ว. ให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยก็มิได้ห้ามโจทก์ไม่ให้เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์และมิได้ขับไล่โจทก์ให้ออกไปจากตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าว นอกจากนี้ก่อนที่พันตำรวจตรี ส. จะรับแจ้งความจากจำเลย พันตำรวจตรี ส. ได้ชี้แจงให้จำเลยทราบแล้วว่าโจทก์ไม่มีเจตนาบุกรุกเพราะโจทก์ไปกับเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งกระทำการตามหน้าที่แต่จำเลยไม่ยอมจะขอแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ให้ได้ ข้อความที่จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนเป็นการยืนยันว่าโจทก์เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยและ ว. โดยไม่มีสิทธิและไม่มีเหตุอันสมควรเป็นความผิดทางอาญาฐานบุกรุกซึ่งไม่เป็นความจริงและข้อความที่แจ้งนี้หาใช่เป็นเพียงความคิดเห็นหรือความเข้าใจของจำเลยโดยสุจริตไม่จำเลยจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4066/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีบุกรุก, กระทำอนาจาร, ชิงทรัพย์: พยานหลักฐานแน่นชัด ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลล่าง
การที่จำเลยที่ 1 เปลือยกายถืออาวุธมีดเข้าไปหาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งนอนอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 พอดีผู้เสียหายที่ 1 รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 พูดขู่มิให้ร้อง ผู้เสียหายที่ 1 ร้องกรี๊ดสุดเสียง จำเลยที่ 1 จึงชกปากผู้เสียหายที่ 1 และเอามือซ้ายยัดเข้าไปในปากของผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 จึงกัดนิ้วของจำเลยที่ 1 และดิ้นจนตกจากเตียงนอน ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 ถูกอาวุธมีดของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ถือมาบาดที่ข้อมือซ้าย ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันไม่สมควรทางเพศแก่ผู้เสียหายที่ 1 โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว จึงเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และเป็นการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควรในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364 หลังจากนั้นเมื่อผู้เสียหายที่ 3 เข้ามาในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ก็ถูกจำเลยที่ 1 ทำร้าย และหยิบเอากระเป๋าที่มีอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 เก็บไว้ ซึ่งผู้เสียหายที่ 3 นำมาด้วย และตกอยู่ที่พื้นไป ก่อนจะหลบหนี จำเลยที่ 1 วิ่งชนผู้เสียหายที่ 3 และยังใช้มีดฟันผู้เสียหายที่ 3 ได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นการลักอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 ไปโดยทุจริต โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสะดวกในการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมและเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม