พบผลลัพธ์ทั้งหมด 32 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องนายอำเภอและการละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน: นายอำเภอถูกฟ้องได้ในฐานะบุคคลธรรมดา แม้คณะกรรมการอำเภอไม่ใช่ นิติบุคคล
แม้คณะกรมการอำเภอไม่ใช่นิติบุคคลนายอำเภอก็อาจฟ้องหรือถูกฟ้องได้เหมือนบุคคลธรรมดา
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยในฐานะนายอำเภอกระทำละเมิดสิทธิโจทก์ในที่พิพาทจำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะสมบัติแผ่นดินและตาม พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ.2457มาตรา 122 กำหนดให้นายอำเภอควบคุมดูแลที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลห้ามจำเลยมิให้สอดเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ต่อไปได้
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยในฐานะนายอำเภอกระทำละเมิดสิทธิโจทก์ในที่พิพาทจำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะสมบัติแผ่นดินและตาม พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ.2457มาตรา 122 กำหนดให้นายอำเภอควบคุมดูแลที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลห้ามจำเลยมิให้สอดเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องจำเลยในฐานะบุคคลธรรมดา โดยไม่ได้ฟ้องบริษัท แม้จะเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของบริษัท
เทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพฯ เรื่องควบคุมการค้าซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจ ฯ (ฉบับที่ 3) 2494 ลงวันที่ 18 ม.ค.2494 ข้อ 4,5
หน้าฟ้องโจทก์ระบุชื่อจำเลยไม่ได้ระบุชื่อบริษัท ในคำบรรยายฟ้องกล่าวถึงบริษัทอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงแสดงให้ทราบว่าจำเลยผู้ที่ถูกฟ้องนั้นเป็นผู้จัดการบริษัทจึงเป็นอันว่าจากหน้าฟ้องก็ตาม จากคำบรรยายฟ้องก็ตาม โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นส่วนตัวของจำเลย และฟ้องไม่ได้หาว่าจำเลยจัดคนให้เลื่อยไม้ เมื่อคำพยานไม่มีเลยว่าจำเลยเป็นผู้เลื่อยไม้ เช่นนี้ลงโทษจำเลยไม่ได้.
หน้าฟ้องโจทก์ระบุชื่อจำเลยไม่ได้ระบุชื่อบริษัท ในคำบรรยายฟ้องกล่าวถึงบริษัทอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงแสดงให้ทราบว่าจำเลยผู้ที่ถูกฟ้องนั้นเป็นผู้จัดการบริษัทจึงเป็นอันว่าจากหน้าฟ้องก็ตาม จากคำบรรยายฟ้องก็ตาม โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นส่วนตัวของจำเลย และฟ้องไม่ได้หาว่าจำเลยจัดคนให้เลื่อยไม้ เมื่อคำพยานไม่มีเลยว่าจำเลยเป็นผู้เลื่อยไม้ เช่นนี้ลงโทษจำเลยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้เงินโดยใช้สิทธิหุ้นส่วนเป็นหลักประกันก่อนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนไม่ใช่ผู้ค้ำประกัน
ผู้เป็นหุ้นส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่จดทะเบียนกู้เงินเขามาแม้เขียนในสัญญากู้ว่า "เอาสิทธิหุ้นส่วนของบริษัทพักตรพริ้งซึ่งผู้กู้มีสิทธิเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง" มาเป็นหลักทรัพย์ประกันก็ดี เงินที่กู้มาก็ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้กู้โดยส่วนตัว การที่พูดว่าเอาสิทธิหรือหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนมาเป็นประกันเงินกู้ในสัญญากู้ที่ทำกันเองนั้น หาก่อให้เกิดเป็นการจำนำหรือบุริมสิทธิในอันที่จะติดตามไปบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของนิติบุคคล ซึ่งเกิดมาภายหลังนั้นไม่ เมื่อผู้กู้ไม่ชำระเงินจนถูกผู้ให้กู้ฟ้องศาล ศาลบังคับให้ชำระแล้วผู้ให้กู้จะไปยึดทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วน ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในภายหลังนั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องนายกเทศมนตรีในฐานะบุคคลธรรมดา กรณีภาษีโรงเรือนและการอุทธรณ์การประเมิน
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าภาษีโรงเรือนที่เจ้าหน้าที่ประเมินเกินไป โดยกล่าวในฟ้องว่าโจทก์ฟ้องนายทับ ณ พัทลุง ในนามนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุงเป็นจำเลย ย่อมเป็นการฟ้องบุคคลธรรมดาในตำแหน่งหน้าที่ของเขา
ตามพระราชบัญญัติปันรายได้บำรุงเทศบาล 2478 มาตรา 4 ซึ่งบัญญัติว่า ภาษีโรงเรือน ซึ่งจะพึงเรียกเก็บได้ในเขตเทศบาลให้โอนให้เทศบาลเรียกเก็บเป็นรายได้ของเทศบาล และให้เทศบาลมีอำนาจและหน้าที่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อการนี้ประกอบกับ พระราชบัญญัติเทศบาล 2481 มาตรา 36 บัญญัติว่าในการบริหารการเทศบาลทั้งหลาย ให้นายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้าดำเนินกิจการทั้งปวงของเทศบาล ดังนี้ นายกเทศมนตรีซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาโดยตำแหน่งหน้าที่นายกเทศมนตรีจึงอาจฟ้อง หรือถูกฟ้องเป็นคดีความในโรงศาลได้ ไม่จำเป็นต้องเอานิติบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความเสมอไป(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/92)
ตามพระราชบัญญัติปันรายได้บำรุงเทศบาล 2478 มาตรา 4 ซึ่งบัญญัติว่า ภาษีโรงเรือน ซึ่งจะพึงเรียกเก็บได้ในเขตเทศบาลให้โอนให้เทศบาลเรียกเก็บเป็นรายได้ของเทศบาล และให้เทศบาลมีอำนาจและหน้าที่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อการนี้ประกอบกับ พระราชบัญญัติเทศบาล 2481 มาตรา 36 บัญญัติว่าในการบริหารการเทศบาลทั้งหลาย ให้นายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้าดำเนินกิจการทั้งปวงของเทศบาล ดังนี้ นายกเทศมนตรีซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาโดยตำแหน่งหน้าที่นายกเทศมนตรีจึงอาจฟ้อง หรือถูกฟ้องเป็นคดีความในโรงศาลได้ ไม่จำเป็นต้องเอานิติบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความเสมอไป(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/92)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2481
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วัดมีสิทธิได้มาซึ่งที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาได้
วัดอาจได้มาซึ่งที่ดินอันเป็นที่ธรณีสงฆ์โดยทางครอบครองปรปักษ์เช่นอย่างบุคคลธรรมดาอ้างฎีกาที่ 603/2474
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6590/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนภาษีเกินกำหนดตามมาตรา 63 ป.รัษฎากร กรณีบุคคลธรรมดา ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 63 "บุคคลใดถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย และนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีตามส่วนนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืน แต่ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายในสามปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป" อันเป็นบทบัญญัติในส่วน 2 การเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดา ซึ่งมาตรา 63 บัญญัติเรื่องการขอคืนเงินภาษีไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำมาตรา 27 ตรี ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับแก่การขอคืนเงินภาษีอากรและเงินภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายในกรณีทั่วไปมาใช้บังคับได้ โจทก์จึงต้องยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายในปี 2550 ภายในสามปี นับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2550 อันเป็นวันสุดท้ายแห่งปีที่โจทก์ถูกหักภาษีเกินไป ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 แต่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมและขอคืนเงินภาษีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2554 จึงเป็นการยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีเมื่อพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8345/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของบุคคลธรรมดาที่จดทะเบียนพาณิชย์ในนามชื่อทางการค้า คดีนี้ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ย้อนสำนวน
ตามคำฟ้องในช่องชื่อโจทก์ มิได้ระบุแต่ชื่อ ป. เป็นโจทก์ แต่มีชื่อบุคคลธรรมดาระบุต่อท้ายชื่อดังกล่าว โดย ย. และตามคำฟ้อง ข้อ 1 บรรยายว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการพาณิชยกิจตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499 ชื่อ ป. ตามใบทะเบียนพาณิชย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เอกสารดังกล่าวระบุว่า ใบสำคัญนี้ออกให้เพื่อแสดงว่า ย. ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ใช้ชื่อในการประกอบการพาณิชยกิจว่า ป. แสดงว่า โจทก์คือ ย. ในฐานะบุคคลธรรมดาได้จดทะเบียนเป็นประกอบการพาณิชยกิจ โดย ย. จะใช้ชื่อดังกล่าวในการประกอบธุรกิจทางการค้า เท่ากับ ย. ประกอบกิจการเป็นการส่วนบุคคล และเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการประกอบกิจการของตนในนามชื่อทางการค้าดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเข้าทำสัญญาคดีนี้ ย. จึงเป็นเจ้าของและประกอบกิจการในฐานะบุคคลธรรมดาในนามชื่อทางการค้าดังกล่าว ย. จึงมีอำนาจฟ้องเป็นการส่วนตัว และเป็นโจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้ หาใช่ใช้ชื่อในการประกอบพาณิชยกิจที่ได้จดทะเบียนเป็นโจทก์ฟ้องตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3150/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: กลุ่มออมทรัพย์มิได้จดทะเบียน ไม่เป็นนิติบุคคล/บุคคลธรรมดา จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ผู้เป็นคู่ความในคดีต้องเป็นบุคคลซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 บัญญัติให้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล ได้แก่ (1) พนักงานอัยการ (2) ผู้เสียหาย และคำว่าบุคคลนั้น ตาม ป.พ.พ. ได้แก่ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์มีวัตถุประสงค์เก็บรวบรวมเงินจากสมาชิก และให้สมาชิกกู้ยืมจากกลุ่มออมทรัพย์ อันมีลักษณะเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ เมื่อมิได้จดทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1015 โจทก์จึงไม่เป็นนิติบุคคล และตามคำฟ้องที่ระบุว่าคณะกรรมการและสมาชิก โจทก์มีมติให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวฟ้องคดีในฐานะส่วนตัว โจทก์ย่อมมิใช่บุคคลธรรมดาเช่นกัน ไม่อาจเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องทั้งในคดีส่วนอาญา และคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1840/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกโดยพินัยกรรม: ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ (บุคคลธรรมดา) กับข้อโต้แย้งเรื่องพินัยกรรมปลอม
สถานสงเคราะห์คนชรา ฉ. มิได้เป็นนิติบุคคล แต่สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. การที่ผู้ตายทำพินัยกรรมระบุให้ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์คนชรา ฉ. เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย เป็นการแต่งตั้งบุคคลธรรมดามีตำแหน่งเป็นผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ให้เป็นผู้จัดการมรดกไม่ใช่เป็นการแต่งตั้งสถานสงเคราะห์แต่อย่างใดเมื่อผู้ร้องซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองสถานสงเคราะห์คนชรา ฉ. ในภายหลังได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย แต่การแต่งตั้งผู้ร้องหามีผลสมบูรณ์โดยเด็ดขาดไม่ เพราะผู้คัดค้านได้คัดค้านว่าพินัยกรรมปลอม กรณีมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกของผู้ตายแล้ว ทั้งผู้คัดค้านยังขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายด้วย ศาลชั้นต้นจะสั่งงดไต่สวนแล้วสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้องไม่ได้ แต่ต้องไต่สวนคำร้องขอของผู้ร้องกับผู้คัดค้าน และมีคำสั่งตามรูปคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2511/2563 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้เป็นบุคคลธรรมดา ก็มีความผิดตามประกาศคณะปฏิวัติ
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 (เรื่อง สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ) ข้อ 3 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับว่า ผู้ประกอบธุรกิจต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรี และข้อ 4 ระบุว่า ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบาท จากข้อกำหนดดังกล่าวแสดงว่า ผู้ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับเป็นทางการค้าปกติจะต้องมีคุณสมบัติเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่มีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบาทและต้องดำเนินการขออนุญาตตามหลักเกณฑ์ของประกาศกระทรวงการคลังฉบับดังกล่าว ดังนั้น บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวย่อมไม่มีสิทธิยื่นขอประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับเป็นทางการค้าปกติได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนประกอบธุรกิจดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตย่อมมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5 (7) และข้อ 16 ซึ่งหาใช่เป็นความผิดเฉพาะนิติบุคคลที่ฝ่าฝืนไม่ ดังนี้ เมื่อจำเลยประกอบกิจการในการจัดหามาซึ่งเงินทุนแล้วให้ผู้มีชื่อหลายรายกู้ยืมเงิน อันเป็นการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับโดยไม่ได้เป็นนิติบุคคล และไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาตตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5 (7) และข้อ 16