คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ประมาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 560 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4200/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถ-ความรับผิดชอบผู้ให้ยืม: ผู้ให้ยืมไม่รู้เห็นเป็นใจ หากผู้ขับขี่ประมาทหรือขับขี่โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย
จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 43(8), 160 วรรคสาม โดยจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงฉวัดเฉวียนไปมาซึ่งความผิดเช่นว่านี้ แม้จำเลยจะมีใบอนุญาตขับรถยนต์ก็ยังเป็นความผิดได้ ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะทราบว่าจำเลยไม่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ แต่ยังให้ยืมรถจักรยานยนต์ของกลางไปขับขี่ ก็หาได้ถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผิดสัญญาซื้อขาย vs. ละเมิด: การส่งมอบสินค้าชำรุดไม่ถือเป็นการละเมิดหากไม่มีเจตนาหรือประมาท
โจทก์ตกลงซื้อโต๊ะนักเรียนพร้อมเก้าอี้ตามแบบกรมสามัญศึกษาจากห้างจำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขาย เมื่อข้อตกลงตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ส่งมอบโต๊ะนักเรียนพร้อมเก้าอี้ตามสัญญาแก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบโต๊ะนักเรียนและเก้าอี้ชำรุดบกพร่อง จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาซื้อขาย แต่คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดฐานผิดสัญญาซื้อขายหรือไม่ และการไม่ปฏิบัติตามสัญญาในกรณีดังกล่าวมิใช่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อโดยผิดกฎหมายต่อบุคคลอื่น เป็นเหตุให้เขาเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2589/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประมาทเลินเล่อจากการยิงปืน ยิงผิดเป้าทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส ศาลฎีกาแก้เป็นประมาท
จำเลยมีเจตนาใช้อาวุธปืนแก๊ปยาวยิงค้างคาวโดยไม่พิจารณาให้ดีว่าบริเวณที่ยิงไปนั้นจะมีผู้เสียหายอยู่หรือไม่ เมื่อกระสุนปืนที่ยิงไปนั้นไม่ถูกค้างคาว แต่กลับไปถูกผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน กรณีเช่นนี้จึงถือว่าจำเลยกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้เพราะจำเลยต่อสู้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท จำเลยจึงไม่หลงข้อต่อสู้ ทั้งการแตกต่างระหว่างการกระทำโดยเจตนากับประมาทนั้น กฎหมายมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถ ชนกันจนถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาโทษประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและยกฟ้องความผิดตาม พ.ร.บ.จราจร
จำเลยได้ขับขี่รถมายังที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถหยุดรถได้ทันในขณะที่เห็นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาเข้ามาในทางเดินรถเดียวกันเป็นเหตุให้ชนประสานงากับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย แม้ผู้ตายจะมีส่วนประมาทที่ไม่ขับรถชิดขอบทางด้านซ้ายของตนหลังจากเลี้ยวขวาแล้วและไม่มองดูทางข้างหน้าให้ปลอดภัย ก็ไม่ใช่เหตุที่จำเลยจะยกขึ้นอ้างเพื่อปัดความรับผิดของจำเลยได้ในเมื่อจำเลยเองก็มีส่วนประมาทอยู่ด้วยที่ขับรถมาด้วยความเร็วสูงมายังบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งมีทางแยก จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 291
สำหรับความผิดฐานขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยว่าโจทก์เท่านั้นที่มีอำนาจฟ้อง ส่วนโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในความผิดฐานนี้ได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องความผิดฐานนี้ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอ้างเหตุว่าจำเลยขับรถผิดช่องทางจราจรอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรประการเดียวโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอ้างเหตุว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นมาด้วย จึงต้องถือว่าความผิดฐานขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น แม้คดีจะได้ความว่าจำเลยขับรถโดยประมาทด้วยเหตุขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ศาลฎีกาก็ไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 ตามคำขอท้ายฟ้องได้ ชอบที่ศาลฎีกาจะต้องพิพากษายกฟ้องความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10544/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ขับรถแข่งประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บ เสียหาย ศาลแก้ไขโทษ
การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์แข่งกันไปตามถนน โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือให้แข่งรถได้จากเจ้าพนักงานจราจรโดยชอบด้วยกฎหมาย กับการที่จำเลยขับรถด้วยความประมาทโดยใช้ความเร็วสูงเป็นเหตุให้ ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย จำเลยกระทำโดยมีเจตนาเดียวคือขับรถจักรยานยนต์แข่งกันไปตามถนนโดยใช้ความเร็วสูงและเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสและ ทรัพย์สินเสียหาย ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6968/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจอดรถในทางเดินรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษา
การที่จำเลยจอดรถในทางเดินรถโดยไม่แสดงเครื่องหมายหรือสัญญาณตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 56 วรรคสอง,152 เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายแก่กาย ซึ่งเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,390 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด
ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 43(4) และ 157ต้องเป็นผู้ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และตามมาตรา 78 และ 160 ต้องเป็นผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นและไม่หยุดให้ความช่วยเหลือพร้อมแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งการจะเป็นความผิดดังกล่าวได้ต้องเป็นผู้ขับรถที่กำลังแล่นอยู่หาใช่กรณีผู้ขับรถที่จอดหรือหยุดรถไม่ เมื่อจำเลยจอดรถในทางเดินรถ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทและก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 43(4),78,157 และ 160 วรรคหนึ่งปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องในความผิดดังกล่าวทั้งสองข้อหาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง,215,225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6764/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากไฟไหม้และการร่วมกระทำผิดฐานประมาท: ศาลแก้ไขโทษจำเลยฐานประมาทเลินเล่อ
การกระทำความผิดโดยประมาทเป็นการกระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา จึงไม่อาจมีการร่วมกันกระทำในลักษณะที่เป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 83 นั้น ไม่ถูกต้อง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5539/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รอการลงโทษคดีประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย – ชดใช้ค่าเสียหาย & ไม่เคยต้องโทษ
รายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติถือเป็นรายงานของเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติไปตามคำสั่งของศาล ไม่เป็นพยานหลักฐานของโจทก์หรือจำเลยในคดี ข้อเท็จจริงตามรายงานดังกล่าวที่ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย จึงมิใช่ข้อเท็จจริงที่จำเลยได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องรับวินิจฉัยให้
ผู้กระทำความผิดในฐานะกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและหลบหนีไม่แจ้งเหตุ ไม่ถือว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง เมื่อตามรายงานของพนักงานคุมประพฤติปรากฏว่ามารดาของผู้ตายและ บ. ได้รับชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่พอใจและต่างไม่ติดใจที่จะดำเนินการในทางแพ่งอีก ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาชี้ชัดจำเลยประมาทขับรถชนผู้เสียหาย หลักฐานแน่น พยานยืนยัน การรับสารภาพไม่ช่วยลดโทษ
บนถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง มีรถยนต์กระบะของจำเลยแล่นมาเพียงคันเดียว แม้โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานเห็นตอนที่รถจักรยานยนต์ของผู้ตายถูกชนก็ตาม แต่ภิกษุ จ. ซึ่งขับรถจักรยานยนต์สวนกับรถยนต์กระบะสีน้ำเงินที่ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายก็เห็นแทบจะในทันทีทันใดทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตรส่วน ท. ซึ่งรู้จักจำเลยมานานเพราะเป็นเพื่อนบ้านกันก็เห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวเป็นประจำ นอกจากนี้เมื่อนำรถจักรยานยนต์ของผู้ตายและรถยนต์กระบะของจำเลยมาเปรียบเทียบร่องรอยที่เกิดขึ้นแล้วสามารถเข้ากันได้ และจากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญตามหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์พบว่า เศษสีฟ้าที่ปลายคันเบรกรถจักรยานยนต์และที่คอปกเสื้อที่หน้าอกของผู้ตายมีลักษณะและคุณสมบัติน่าเชื่อว่าเป็นสีฟ้าชนิดเดียวกับสีฟ้าของรถยนต์จำเลย แม้จะไม่สามารถบอกยี่ห้อสีได้ก็มิใช่ข้อพิรุธ แต่การที่จำเลยอ้างว่านำรถไปซ่อมปะผุแล้วซื้อสีมาพ่นเองกลับเป็นพิรุธ เพราะรถมีรอยซ่อมข้างขวาเพียงด้านเดียวเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
เหตุบรรเทาโทษเพราะรับสารภาพนั้นจะต้องให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา การที่เจ้าพนักงานตรวจสอบพบการกระทำผิดจากรถยนต์ของจำเลยที่ยึดมาแล้วจึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม แม้จำเลยไม่ให้การรับสารภาพก็ย่อมพิสูจน์ความผิดได้โดยง่าย จึงเป็นการจำนนต่อหลักฐานไม่สมควรลดโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7891/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนเลนกะทันหันของรถยนต์บรรทุกเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ล้ม ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการประมาท
จำเลยได้บังคับรถยนต์ที่จำเลยขับเลี้ยวไปทางซ้ายเพื่อเปลี่ยนช่องเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถที่ 1 ที่ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์มาอย่างรีบเร่ง ซึ่งหากจำเลยทอดเวลาไว้ระยะหนึ่งโดยให้สัญญาณไฟเลี้ยวทางด้านซ้ายเพื่อแสดงเจตนาให้รถคันอื่นในบริเวณใกล้เคียงได้ทราบ ผู้เสียหายอาจเร่งความเร็วรถจักรยานยนต์ของตนแซงพ้นรถยนต์ของจำเลยหรือชะลอความเร็วของรถจักรยานยนต์เพื่อเปิดทางให้จำเลยเปลี่ยนช่องเดินรถโดยสะดวก เมื่อจำเลยได้เลี้ยวรถมาทางซ้ายเพื่อเปลี่ยนช่องเดินรถอย่างกะทันหัน จึงเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์บรรทุกเช่นจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์
พื้นผิวถนนในช่องเดินรถของผู้เสียหายตรงบริเวณที่เกิดเหตุไม่ปรากฏว่ามีหลุม บ่อ หรือขรุขระ อันจะทำให้การขับขี่และบังคับรถจักรยานยนต์ทำได้ลำบากหรือทำให้เสียการทรงตัว และไม่ปรากฏร่องรอยการเฉี่ยวชนที่ตัวรถยนต์ของจำเลย กรณีจึงเชื่อได้ว่าเพราะเหตุที่จำเลยหักเลี้ยวรถเพื่อจะเปลี่ยนช่องเดินรถโดยกะทันหันขวางเส้นทางเดินรถของผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายต้องหักรถหลบตามสัญชาติญาณทำให้รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายล้มลงและผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แม้รถยนต์ของจำเลยจะมิได้กระแทกหรือเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย เพราะผู้เสียหายหักรถหลบได้ทัน แต่ก็ต้องถือว่าการที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายล้มลงและผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย
of 56