คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ป้องกัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 153 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5698/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ความรุนแรงในการห้ามปรามวิวาทและการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีบันดาลโทสะ
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ได้วิวาทชกต่อยกับผู้เสียหายจำเลยที่ 2 เข้าห้ามปรามมิให้ผู้เสียหายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายกลับชกต่อยและเตะจำเลยที่ 2 จนเซไป แล้วหวนกลับไปทำร้ายจำเลยที่ 1 อีก จำเลยที่ 2 จึงใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะ และหน้าผากเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 วิวาทชกต่อยกับผู้เสียหาย จึงเป็นการสมัครใจวิวาท มิใช่ผู้เสียหายประทุษร้ายจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว แม้ผู้เสียหายจะหวนกลับไปทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1อีก ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในขณะที่วิวาทกัน จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะป้องกันจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะจำเลยที่ 2 เข้าไปห้ามปรามมิให้ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงถูกผู้เสียหายชกต่อยและเตะจำเลยที่ 2 จนเซไป แล้วผู้เสียหายได้หวนกลับมาจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่เกิดแก่จำเลยที่ 2 เองคือการถูกผู้เสียหายชกต่อยและเตะจนเซไปได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายกลับเข้าไปทำร้ายจำเลยที่ 1 อีกเช่นนี้ ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามป.อ. มาตรา 72
ตามพฤติการณ์แห่งคดี ผู้เสียหายมีส่วนก่อเหตุอยู่ด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโทษจำคุกมาก่อนและโทษจำคุกก็เพียงเล็กน้อย กรณีจึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ตาม ป.อ. มาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5334/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันตนเองจากการถูกทำร้าย: การกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
จำเลยไม่มีสาเหตุกับผู้ตายเมื่อ อ.ซึ่งถูกผู้ตาย ไล่ฟันวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลยและผู้ตายตามมาฟัน อ. จำเลยพูดกับผู้ตายว่าจำเลยไม่เกี่ยวข้องนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้เข้าช่วยเหลือ อ. ไม่ได้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ระหว่างอ.กับผู้ตาย ทั้งไม่ได้สมัครใจเข้าต่อสู้กับผู้ตายแต่อย่างใด
ผู้ตายตามมาฟัน อ.ซึ่งวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลย เมื่อ อ.หลบหนีไปแล้ว ผู้ตายใช้มีดฟันถูกบริเวณแก้มซ้ายของจำเลย แสดงว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้มีดฟันถูกจำเลย จำเลยเข้าแย่งมีดได้จากผู้ตาย ผู้ตายกับพวกจะเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายหนึ่งครั้งแล้ววิ่งหนีไป เช่นนี้ฟังได้ว่าภัยที่เกิดขึ้นแก่จำเลยยังมีอยู่ การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปเพียงหนึ่งครั้ง จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 68 ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา288

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2914/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมในที่รโหฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและการป้องกันโดยชอบธรรม
โรงค้าไม้ที่ใช้เป็นที่พักอาศัยยาม ที่โรงค้าไม้หยุดดำเนินกิจการ ภายในบริเวณโรงค้าไม้ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลังย่อมไม่ใช่สาธารณสถาน แต่เป็นที่รโหฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2(13)แม้โจทก์ร่วมจะมีอำนาจจับกุมจำเลยเพราะเป็นกรณีที่มีผู้ขอให้จับโดยแจ้งว่าจำเลยได้กระทำความผิดและแจ้งด้วยว่าได้ร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78(4) แต่การจับกุมตามกรณีดังกล่าว ก็ต้องมิใช่เป็นการจับกุมในที่รโหฐานเพราะตามมาตรา 81 บัญญัติว่า จะมีหมายจับหรือไม่ก็ตามห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทำตามบัญญัติว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน ซึ่งพฤติการณ์ของโจทก์ร่วมที่กระทำไปก็หาต้องด้วยข้อยกเว้นดังกล่าวไม่ การที่โจทก์ร่วมกับพวกเข้าทำการจับกุมจำเลยในที่รโหฐาน จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบทั้งปราศจากอำนาจที่จะทำได้ตามกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ แม้จำเลยจะต่อสู้ขัดขวางการจับกุมและทำร้ายโจทก์ร่วมจริง การกระทำของจำเลยก็เป็นการป้องกันชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินกว่ากรณีที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกัน และความผิดฐานพยายามฆ่า
คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกา สุนัขในบ้านจำเลยเห่าจำเลยรู้สึกตัวลุกออกจากบ้านเห็นโจทก์ร่วม สำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย ซึ่งเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะป้องกันได้แต่การที่จำเลยคว้ามีดพร้าสำหรับดายหญ้ายาว110ซม. ฟันโจทก์ร่วมถูกที่ศีรษะ 2 แผล กระโหลกศีรษะแตกและถูกข้อศอกข้างละ 1 แผลโดยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าโจทก์ร่วมมีอาวุธอะไร และจะได้กระทำการประทุษร้ายจำเลยอย่างไร การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า หลังการทะเลาะวิวาท การกระทำเพื่อป้องกันต้องมีเหตุอันตรายใกล้จะถึง
หลังจากจำเลยกับผู้เสียหายเลิกทะเลาะและกอดปล้ำต่อสู้กันแล้ว มีผู้พาจำเลยไปส่งบ้าน ส่วนผู้เสียหายเข้าไปนั่งอยู่ในเต็นท์ จากนั้นประมาณ 10-30 นาที จำเลยกลับเข้ามาในเต็นท์โดยลอบเข้ามาทางด้านหลังผู้เสียหายและใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายเช่นนี้มิใช่กระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่อย่างใด ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4960/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสีย ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
สภาตำบลซึ่งมีจำเลยเป็นประธานสภาเสนอโครงการสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก และได้รับอนุมัติ ต่อมาจำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมการปกครองกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งเป็นนายอำเภอพุนพินว่าเรียกร้องเงินค่าอนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างดังกล่าวจากจำเลยจำนวน 2,000 บาท ซึ่งตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่ามีการเรียกร้องและรับเงิน 2,000 บาทจากจำเลย ฉะนั้น การที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าวจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมในฐานะประธานสภาตำบลและราษฎรในตำบล กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(1) จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3278/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินขนาดและการใช้กำลังเกินความจำเป็นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
เมื่อผู้ตายซึ่งเป็นคนร้ายได้วิ่งหนีออกจากบ้านจำเลยไปภยันตรายที่จำเลยจะต้องป้องกันนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยถือไม้ไล่ตามผู้ตายไปไกลจากบ้านจำเลยถึง 60 เมตร แล้วได้ใช้ไม้ยาวประมาณ 1 เมตร ตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรากฏว่าผู้ตายต่อสู้หรือมีอาวุธ เช่นนี้ จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งเรื่องผู้เสียหายเรียกร้องเงินจากผู้ติดต่อ เป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสีย มิใช่หมิ่นประมาท
จำเลยและผู้เสียหายต่างทำงานอยู่ที่สำนักงานที่ดินแห่งเดียวกัน การที่มีผู้ไปติดต่อขอรับมรดกที่ดินที่สำนักงานที่ดินดังกล่าวโดยได้ไปติดต่อกับผู้เสียหายก่อนแล้วจึงไปสอบถามจำเลยในลักษณะที่มีมูลทำให้จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายได้เรียกเอาเงินจากผู้ไปติดต่อ อันเป็นการมิชอบ จำเลยจึงแจ้งเรื่องให้ ศ. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งของตนและของผู้เสียหายทราบเพื่อจะได้ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไปนั้น เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความที่ถูกกล่าวหาโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขรก.แจ้งความเท็จเพื่อป้องกันความเสียหายของหน่วยงาน ไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท หากมีเหตุเชื่อได้ว่าผู้เสียหายเรียกรับเงิน
จำเลยเป็นข้าราชการประจำสำนักงานที่ดินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียผู้หนึ่ง จึงชอบที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของตนได้ การที่จำเลยแจ้งเรื่องที่ทราบมาว่าผู้เสียหายเรียกร้องเอาเงินจากผู้มาติดต่อราชการให้ ศ. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งของตนและผู้เสียหายทราบ เพื่อจะได้ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไปนั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความที่ถูกกล่าวหาโดยสุจริตเพื่อความ ชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตาม ป.อ. มาตรา 329(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาจำเลยกระทำอนาจารและชิงทรัพย์: วิสาสะ, ป้องกันการหลบหนี, ไม่เข้าข่ายความผิด
จำเลยกับผู้เสียหายเคยอยู่กินฉัน สามีภริยาโดย ทำพิธี แต่งงานกันตาม ลัทธิศาสนาอิสลาม และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมาได้ แยกกันอยู่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏชัด ว่า จำเลยหย่าขาดกับผู้เสียหายตามกฎหมายอิสลาม การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา จึงอาจเป็นกรณีที่จำเลยกระทำไปโดย เข้าใจว่ามีสิทธิกระทำได้ กับภริยาซึ่ง มีบุตรด้วยกัน อันเสมือนกับทำโดยวิสาสะย่อมไม่เข้าลักษณะกระทำโดย มีเจตนาร้าย จึงไม่เป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารหน่วงเหนี่ยวกักขังและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยถอด เอาแหวนและตุ้มหูของผู้เสียหายซึ่งสวมใส่ไป โดย บอกกับผู้เสียหายว่าถ้ามีแหวนและตุ้มหูติดตัว อาจมีเงินหลบหนีได้ แสดงว่าการที่จำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าวไป จำเลยมีเจตนาเพียงที่จะป้องกันมิให้ผู้เสียหายหลบหนี หามีเจตนาทุจริตไม่จึงไม่เป็นความผิดฐาน ชิงทรัพย์.
of 16