คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้รับจ้าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8394/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาก่อนกำหนดและการชดใช้ค่าเสียหายของผู้รับจ้าง
สัญญาว่าจ้างถมดินระหว่างผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้างไม่ได้กำหนดเงื่อนเวลาสิ้นสุดแห่งการทำงานของผู้รับจ้างไว้ เมื่อผู้รับจ้างมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่ผู้ว่าจ้างไม่ประสงค์จะให้ผู้รับจ้างถมดินต่อไป แม้ผู้ว่าจ้างอาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่ผู้รับจ้างได้ก็ตาม แต่ผู้ว่าจ้างต้องเสียสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายใด ๆอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นแก่ผู้รับจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 605
ค่าสินไหมทดแทนที่ให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 605 นั้น มิได้จำกัดเฉพาะค่าแรงงานและทุนที่ลงไปเท่านั้น แต่รวมไปถึงค่าขาดผลประโยชน์หรือผลกำไรที่ผู้รับจ้างควรจะได้รับจากกิจการงานนั้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8394/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาจ้างทำของที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และค่าเสียหายที่ผู้รับจ้างมีสิทธิได้รับ
สัญญาว่าจ้างถมดินระหว่างผู้รับจ้างไม่ได้กำหนดเงื่อนเวลาสิ้นสุดแห่งการทำงานของผู้รับจ้างไว้เมื่อผู้รับจ้างมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่ผู้ว่าจ้างไม่ประสงค์จะให้ผู้รับจ้างถมดินต่อไปแม้ผู้ว่าจ้างอาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่ผู้รับจ้างได้ก็ตามแต่ผู้ว่าจ้างต้องเสียสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายใดๆอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นแก่ผู้รับจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา605 ค่าสินไหมทดแทนที่ให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา605นั้นมิได้จำกัดเฉพาะค่าแรงงานและทุนที่ลงไปเท่านั้นแต่รวมไปถึงค่าขาดผลประโยชน์หรือผลกำไรที่ผู้รับจ้างควรจะได้รับจากกิจการงานนั้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7818/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ว่าจ้างต้องรับผิดร่วมกับผู้รับจ้างในความเสียหายจากการควบคุมงานที่ไม่ปลอดภัย
ตามสัญญาจ้างระบุว่า จำเลยที่ 2 ผู้รับจ้างจะต้องก่อสร้างตามรูปแบบและรายการที่จำเลยที่ 1 ผู้ว่าจ้างกำหนดไว้ทุกประการ และจำเลยที่ 1ได้แต่งตั้งให้ ว.ช่างโยธาของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ควบคุมงาน เมื่อ ว.เห็นว่าจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการของจำเลยที่ 2 ใช้คนและเครื่องจักรขุดดินรางระบายน้ำเก่าโดยไม่ได้ใช้ไม้ค้ำยันและอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้ดินพังลงมา แต่ ว.ก็มิได้สั่งห้ามมิให้ทำเป็นเหตุให้ดินพังลงมาทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ถือว่าจำเลยที่ 1ในฐานะผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่จำเลยที่ 2 ผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นด้วยตาม ป.พ.พ.มาตรา 428 เพราะ ว.ผู้ควบคุมงานของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมวิธีการก่อสร้างด้วย มิใช่มีหน้าที่เพียงควบคุมให้ผลของงานเป็นไปตามสัญญาเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7818/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ว่าจ้างต้องรับผิดร่วมกับผู้รับจ้างเมื่อผู้ควบคุมงานละเลยไม่สั่งระงับการก่อสร้างที่เสี่ยงอันตราย
ตามสัญญาจ้างระบุว่าจำเลยที่2ผู้รับจ้างจะต้องก่อสร้างตามรูปแบบและรายการที่จำเลยที่1ผู้ว่าจ้างกำหนดไว้ทุกประการและจำเลยที่1ได้แต่งตั้งให้ว.ช่างโยธาของจำเลยที่1เป็นผู้ควบคุมงานเมื่อว.เห็นว่าจำเลยที่4ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการของจำเลยที่2ใช้คนและเครื่องจักรขุดดินรางระบายน้ำเก่าโดยไม่ได้ใช้ไม้ค้ำยันและอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้ดินพังลงมาแต่ว.ก็มิได้สั่งห้ามมิให้ทำเป็นเหตุให้ดินพังลงมาทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายถือว่าจำเลยที่1ในฐานะผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำด้วยจำเลยที่1จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่จำเลยที่2ผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา428เพราะว.ผู้ควบคุมงานของจำเลยที่1มีหน้าที่ควบคุมวิธีการก่อสร้างด้วยมิใช่มีหน้าที่เพียงควบคุมให้ผลของงานเป็นไปตามสัญญาเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิยึดหน่วงการชำระเงินเช็คเมื่อผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา และผลต่อความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทสองฉบับชำระค่าจ้างถมดินทำถนนให้ส. โดยสัญญาว่าจ้างระบุว่าถ้าส. ผู้รับจ้างถมที่ดินไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดจำเลยผู้ว่าจ้างสามารถอายัดเช็คทั้งสองฉบับได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นดังนี้เมื่อส. มิได้ถมดินให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาจำเลยย่อมมีสิทธิยึดหน่วงการชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้ตามกฎหมายรวมทั้งมีสิทธิอายัดการใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับต่อธนาคารตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการที่ส. ถมดินทำถนนไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาส. ย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้เต็มตามสัญญาได้แม้จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คสองฉบับแต่เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาในมูลหนี้อันเดียวกันไม่สามารถแบ่งแยกกันได้การออกเช็คของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ระคนอยู่ในจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7116/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของผู้รับจ้างในการซ่อมแซมอาคาร: ระยะเวลา 1 ปี vs. 5 ปี
ตามสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นดาดฟ้า หลังคา ซ่อมแซมห้องน้ำห้องส้วมของธนาคารโจทก์ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ก่อนแล้ว จำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รับมอบงานเมื่อมีรอยแตกร้าวบนพื้นดาดฟ้าเกิดขึ้นภายใน 1 ปี จำเลยได้ซ่อมแซมและโจทก์รับมอบงานซ่อมแซมแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในรอยแตกร้าวเดิมที่เกิดขึ้นอีกเมื่อพ้น 1 ปีแล้ว และความชำรุดบกพร่องอันเกิดจากการปรับปรุงพื้นดาดฟ้าหลังคาเช่นนี้ก็ไม่ใช่ความชำรุดบกพร่องที่เกิดจากสิ่งปลูกสร้างกับพื้นดินซึ่งผู้รับจ้างต้องรับผิดภายใน 5 ปี นับแต่วันส่งมอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 600 วรรคแรก ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6144/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับจ้างต่อเรือชำรุด และการรับฟังพยานหลักฐาน (สำเนาเอกสาร)
เอกสารหมาย ล.3 ที่จำเลยอ้างเป็นเพียงสำเนาภาพถ่ายเอกสารซึ่งไม่ปรากฏว่าผู้มีอำนาจรับรองได้รับรองถูกต้องแล้ว หรือโจทก์ตกลงว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวถูกต้องแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น จึงไม่อาจรับฟังสำเนาภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวได้
โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยต่อเรือตรวจการและรับเรือแล้วแต่เรือชำรุดเสียหาย โจทก์ได้ว่าจ้างบุคคลภายนอกซ่อมแซมเป็นเงิน 1,159,330บาท และเรือพิพาทชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้จนถึงวันซ่อมเสร็จประมาณ 4 ปีเสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนี้ เมื่อเรือพิพาทชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่โจทก์มุ่งจะใช้ตามปกติ จำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างต้องรับผิดชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 595 ประกอบด้วยมาตรา 472

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องมีนิติสัมพันธ์กับทรัพย์สินพิพาท การเป็นผู้รับจ้างตัดไม้ไม่อาจเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในไม้ได้
โจทก์เป็นผู้รับจ้างตัดและขนไม้ให้ ย. ผู้รับสัมปทานเมื่อไม้ถูกยึดแม้โจทก์จะเสียค่าใช้จ่ายในการตัดไม้นั้นก็ถือไม่ได้ว่าไม้ที่ตัดเป็นของโจทก์เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้รับสัมปทานทั้งไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยโจทก์จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทำของ: การเลิกสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และความรับผิดในค่าเสียหาย
โจทก์กล่าวในคำฟ้องเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยอันเป็นการผิดสัญญาจ้างทำของ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหลายรายการ แต่โจทก์คิดเพียง 400,000 บาท โดยแนบภาพถ่ายทาวน์เฮาส์เครื่องโม่ปูน วัสดุก่อสร้างที่เหลือ บ้านพักคนงาน รวมทั้งสิ่งก่อสร้างตามโครงการก่อสร้างของจำเลยที่ถนนเทพารักษ์มาท้ายฟ้องด้วย แม้มิได้บรรยายว่าโจทก์เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อใด ทำงานเสร็จไปถึงงวดที่เท่าใดวัสดุก่อสร้างที่เหลืออยู่ จำนวนและราคาเท่าใดและการว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างที่เทพารักษ์มีหลักฐานอย่างใด ก็ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา ไม่จำต้องกล่าวในฟ้องทั้งเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ จำเลยต่อสู้คดีได้ถูกต้องแล้วคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
กรณีเพิ่งเริ่มงานตามสัญญา จำเลยก็ไม่ประสงค์ให้โจทก์ทำการก่อสร้าง เหตุบอกเลิกสัญญา ก็อ้างเหตุโจทก์ทิ้งงานเท่านั้น ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จ และโจทก์เองมิได้ทอดทิ้งงาน ส่วนเรื่องโจทก์ก่อสร้างผิดแบบผิดหลักวิชาการก็รับฟังไม่ได้ ดังนี้เมื่อสัญญาจ้างยังไม่ถึงกำหนด และจำเลยผู้ว่าจ้างเห็นว่าหากให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไปจะเกิดความเสียหายเพราะงานล่าช้ามาก จำเลยจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อนตาม ป.พ.พ.มาตรา 387 แต่จำเลยก็มิได้ทำเช่นนั้น จึงบอกเลิกสัญญาโดยเหตุดังกล่าวไม่ได้ การที่โจทก์ขอทำการก่อสร้างต่อไปและจำเลยไม่ยอม โดยว่าจ้างผู้อื่นก่อสร้างต่อไปและให้เลิกสัญญา จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ แต่เป็นเรื่องจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ และต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง
กรณีจ้างทำของเมื่อจำเลยผู้ว่าจ้างได้บอกเลิกสัญญาเอง โดยโจทก์ผู้รับจ้างไม่ได้ทำผิดสัญญา จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 605
ส่วนค่าเสียหายที่จำเลยต้องรื้อถอนซ่อมแซมและเสียค่าก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ เมื่อโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากโจทก์ได้
โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้ง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งแล้ว ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้องโดยมิได้พิพากษายกฟ้องแย้งด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการขุดดิน – ความรับผิดของผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง – การแก้ไขสภาพเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและจำเลยร่วมก่อสร้างเขื่อนเพื่อกั้นดินในเขตติดต่อที่ดินโจทก์จำเลยมิให้พังทลายลงโดยไม่ได้ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิดโดยตรง จึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา448 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีอายุความเพียง 1 ปี และในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงใช้อายุความตามหลักทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30ซึ่งมีอายุความ 10 ปี
การที่ที่ดินของโจทก์พังทลายลงเกิดจากการกระทำของคนงานของจำเลยร่วมที่ขุดดินใกล้เขตที่ดินของโจทก์มากเกินไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่ควร ถือเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งจำเลยร่วมจะต้องเป็นผู้รับผิด จำเลยผู้ว่าจ้างเป็นผู้กำหนดให้จำเลยร่วมผู้รับจ้างว่าจะขุดบริเวณใดเห็นได้ว่าจำเลยร่วมได้ทำตามคำสั่งของจำเลย แม้จะเป็นการจ้างทำของ จำเลยก็จะต้องร่วมรับผิดด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 428
โจทก์ขอให้สร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นดินยาว 180 เมตรก็เพื่อต้องการที่จะให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิมไม่พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยเท่านั้นดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการสร้างเขื่อนเกินความจำเป็น จึงได้ใช้วิธีถมดินแล้วบดอัดให้แน่นเพื่อป้องกันมิให้ที่ดินของโจทก์พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำได้ ไม่เกินคำขอของโจทก์
of 9