พบผลลัพธ์ทั้งหมด 73 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2206/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีทางจำเป็น/ภารจำยอม ศาลต้องตัดสินตามข้อหาที่ฟ้องเท่านั้น
ประเด็นแห่งคดีของโจทก์ที่ต้องการให้ศาลตัดสินตามข้อเท็จจริงในคำฟ้องที่บรรยายไว้เป็นข้ออ้างในฟ้องเป็นเรื่องให้ศาลวินิจฉัยในเรื่องภารจำยอมเท่านั้นโดยที่ในคำฟ้องของโจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายเรื่องทางจำเป็นไว้คงบรรยายแต่เพียงเรื่องที่ดินมีอาณาเขตติดต่อกันแล้วใช้ทางเดินในที่ดินจำเลยที่ใช้เดินมาตั้งแต่เจ้าของเดิมแล้วจำเลยเอาเสาปูนมาปักปิดกั้นโดยเจตนากลั่นแกล้งปิดกั้นทางเดินของโจทก์เท่านั้นดังนี้การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเป็นการจำเป็นด้วยนั้นผลของคดีจึงเกินคำขอและทำให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีเหตุที่มีทางผ่านนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349วรรคท้ายด้วยจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในความผิดฐานพยายามทำร้าย และขอบเขตการลงโทษนอกเหนือจากคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดปลายแหลมรุมฟันแทงผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะ ไหล่ และหลังโดยเจตนาฆ่า เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้กระทำผิดฐานพยายามฆ่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 1 ถืออาวุธมีดไล่ตามผู้เสียหายหลังจากผู้เสียหายวิ่งหลบหนีจากที่เกิดเหตุการกระทำของจำเลยที่ 1 ใกล้ชิดต่อผลแห่งการทำร้าย ถือว่าเป็นการลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด มีความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายอันเป็นเหตุการณ์คนละตอนกับความผิดตามที่โจทก์ฟ้องเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้อง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก และโจทก์จะฎีกาว่าการกระทำส่วนนี้เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าก็ไม่ได้ เพราะเป็นฎีกาที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1นอกเหนือไปจากคำฟ้องของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในความผิดพยายามฆ่า/ทำร้าย ศาลฎีกาชี้ว่าการไล่ตามหลังถูกทำร้ายเป็นเหตุการณ์คนละตอน
กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้ายต้องเป็นเรื่องความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองศาลลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าศาลอุทธรณ์ภาค3ได้วินิจฉัยในตอนแรกว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่1กระทำผิดฐานพยายามฆ่าแม้หลังจากผู้เสียหายถูกตีที่ศีรษะและถูกแทงที่ไหล่และหลังแล้วผู้เสียหายได้วิ่งออกจากที่เกิดเหตุจำเลยที่1ถือมีดวิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปก็เป็นเหตุการณ์คนละตอนกับความผิดตามที่โจทก์ฟ้องดังนั้นข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยว่าจำเลยที่1มีความผิดฐานพยายามทำร้ายจึงเป็นการ พิพากษาเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในคำฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญาซื้อขายไม่ติดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานในคดีอาญาได้ การพิพากษาเกินคำขอ
สำเนาเอกสารสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่โจทก์อ้างเป็นพยานเป็นเอกสารที่จำเลยนำมามอบให้แก่โจทก์ร่วม ศาลรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ แม้เอกสารดังกล่าวจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามป.รัษฎากร มาตรา 118 ก็ตาม จะใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้เฉพาะคดีแพ่งเท่านั้นไม่รวมถึงคดีอาญาด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมว่า โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ป. ส. ช. ล.ผู้อื่น และประชาชน โดยไม่ได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมอาจจะฟ้องร้องให้ผู้มีชื่อเป็นผู้จะขายที่ดินโอนที่ดินให้โจทก์ร่วมนั้น มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมว่า โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ป. ส. ช. ล.ผู้อื่น และประชาชน โดยไม่ได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมอาจจะฟ้องร้องให้ผู้มีชื่อเป็นผู้จะขายที่ดินโอนที่ดินให้โจทก์ร่วมนั้น มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6576/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบตัวแทนที่มิได้เปิดเผยชื่อและการพิพากษาเกินคำขอในคดีซื้อขายที่ดิน
การที่โจทก์นำสืบว่าส. ผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์เป็นกรณีตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาที่ตัวแทนได้ทำไว้แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา806ย่อมนำสืบได้เพราะนำสืบเรื่องความจริงที่เป็นอยู่มิได้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94(ข) ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่87ตำบลเขาใหญ่อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าได้มีการขอแบ่งแยกแล้วโดยคำขอท้ายฟ้องระบุว่าเป็นที่ดินล็อกที่3ทั้งได้แนบแผ่นที่มาท้ายฟ้องด้วยซึ่งจำเลยก็มิได้ให้การหรือนำสืบโต้แย้งอย่างใดเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)แล้วเป็นเลขที่1319ตำบลเขาใหญ่อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีดังนั้นการที่ศาลพิพากษาคดีโดยกล่าวถึงที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)ดังกล่าวจึงมิได้เป็นการพิจารณาเกินคำขอของโจทก์แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6183/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการวางท่อประปาผ่านที่ดินของผู้อื่น และการพิพากษาเกินคำขอ
เมื่อการวางท่อประปาผ่านที่ดินของจำเลยมีระยะทางใกล้ที่สุด และโจทก์ได้เสนอค่าทดแทนให้แก่จำเลยตามสมควรแล้วโจทก์ย่อมใช้สิทธิขอวางท่อประปาผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1352 ฟ้องโจทก์เพียงขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์วางท่อประปาผ่านที่ดินของจำเลยตามแนวในแผนที่ท้ายฟ้องหากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยการที่ศาลพิพากษาว่าหากไม่สามารถวางท่อประปาผ่านที่ดินของจำเลยตามแนวในแผนที่ได้ให้จำเลยยอมให้โจทก์ต่อท่อจากท่อประปาของจำเลยที่จำเลยวางไปยังทาวน์เฮาส์ที่จำเลยก่อสร้างได้ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิอันใดที่จะไปต่อจากท่อนั้นได้จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4981/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความและประเด็นอำนาจฟ้อง การพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทตามฟ้องหรือไม่อย่างไร จำเลยที่ 1 ไม่ทราบและไม่รับรอง เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์เพราะเหตุไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ชาวบ้านซึ่งรวมถึงผู้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ใช้ซอยพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกโดยเจตนาให้ซอยพิพาทเป็นทางภารจำยอม และระยะเวลาที่ใช้รวมกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382 ทางภารจำยอมในส่วนที่อยู่ในที่ดินของจำเลยมีความกว้าง3 เมตร และจำเลยได้สร้างรั้วปิดกั้นทางภารจำยอมส่วนนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าทางภารจำยอมตามแผนที่ท้ายฟ้องกว้าง 6 เมตร มีความยาวเท่ากับความยาวของที่ดินตามโฉนดของจำเลยที่ 1 นั้น เมื่อไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินของจำเลยตกอยู่เป็นทางภารจำยอมกว้างเท่าใด เพราะตามแผนที่ท้ายฟ้องระบุว่าทางภารจำยอมอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้าง 3 เมตรและอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 กว้าง 3 เมตรอันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาจึงแก้ในส่วนนี้ให้ชัดเจน ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งแปด โจทก์ที่ 5 มิได้อุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภารจำยอมให้แก่โจทก์ที่ 5 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอและข้อพิพาทเรื่องอากรแสตมป์ในสัญญาซื้อขายที่ดิน
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกอ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งมีรายการแสดงว่าได้มีการชำระเงินจำนวน3,400บาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าได้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่างเจ้ามรดกกับจำเลยที่1ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด6แห่งประมวลรัษฎากรข้อ28และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามมาตรา118 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่เจ้ามรดกเป็นเงิน34,550บาทเจ้ามรดกผ่อนชำระค่างวดบางส่วนแล้วก็ถึงแก่ความตายโจทก์ในฐานะทายาทได้ผ่อนชำระส่วนที่เหลือจนครบแต่จำเลยที่1ไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้ขอให้บังคับจำเลยที่1จดทะเบียนโอนที่ดินให้ถ้าโอนไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืนพร้อมดอกเบี้ยโจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่1ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100บาทเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่1มีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน, การพิพากษาเกินคำขอ, และการรับฟังพยานหลักฐานที่มิได้ปิดอากรแสตมป์
โจทก์อ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าได้มีการทำสัญญาระหว่าง ว. กับจำเลยที่1ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด6แห่งประมวลรัษฎากรข้อ28และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากรมาตรา118 ตาม คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่1จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว. ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ยฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืนโจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาให้จำเลยที่1ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100บาทจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่1จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนทะเบียนรถยนต์: ศาลไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ แม้จะสั่งให้จำเลยดำเนินการถอนชื่อออกจากทะเบียน
คำว่า"สภาพแห่งข้อหา"ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองหมายถึงเหตุหรือสิทธิของโจทก์ที่ขอให้ศาลบังคับเอาแก่จำเลยว่าโจทก์มีสิทธิหรือเหตุอย่างไรเหนือจำเลยเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1ขายรถยนต์พิพาทและส่งมอบรถแก่โจทก์โดยโจทก์ชำระราคาครบถ้วนแล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความเสียหายแก่โจทก์โดยปรากฏต่อมาว่าจำเลยที่2เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถในเอกสารคู่มือจดทะเบียนรถทำให้โจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนรถเป็นชื่อของโจทก์จึงขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่2ออกแล้วใส่ชื่อโจทก์แทนเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วหาต้องบรรยายว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำอย่างไรให้มีรายละเอียดว่านี้ไม่เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องต้องการให้ศาลบังคับให้จำเลยที่2ถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์พิพาทย่อมมีความหมายในตัวว่าจำเลยที่2ต้องไปดำเนินการดังกล่าวมิฉะนั้นโจทก์ก็ไม่อาจให้นายทะเบียนดำเนินการใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทนการที่ศาลบังคับให้จำเลยที่2ไปดำเนินการดังกล่าวหากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาจึงไม่ใช่การพิพากษาเกินคำขอ