พบผลลัพธ์ทั้งหมด 62 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่การนำสืบของโจทก์ในคดีที่กล่าวอ้างถึงเจตนาไม่สุจริตของจำเลย โจทก์ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงสนับสนุนคำกล่าวอ้าง
โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าจำเลยมีเจตนาไม่สุจริต ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งให้โจทก์มียศเป็นว่าที่ร้อยตำรวจตรีโดยมิชอบ โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้สมฟ้องว่าจำเลยออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งดังกล่าวโดยมิชอบอย่างไร แต่โจทก์หาได้นำสืบประการใดไม่ โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2652/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม: จำเป็นต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อนวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ให้ออกจากงานอย่างไม่เป็นธรรม ก่อนออกจากงานมีสาเหตุโต้เถียงกับจำเลยและโจทก์แถลงว่า ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีสาเหตุและไม่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นค่าเสียหายฐานถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยแถลงต่อสู้คดีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีสาเหตุว่าโจทก์สมคบกับพวกขโมยแบบแปลนการสร้างวงล้อ ดังนี้ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์ฟ้องและแถลงว่า จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีสาเหตุ มิใช่เพราะโจทก์สมคบกับพวกขโมยแบบแปลนการสร้างวงล้อดังจำเลยต่อสู้ การกระทำของจำเลยก็เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ เพราะการเลิกจ้างโดยไม่มีสาเหตุย่อมไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้างอยู่ในตัวยังไม่ชอบที่จะงดสืบพยานต้องฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม, สัญญาจ้างเหมา, ตัวแทน, ความรับผิดทางสัญญา, การพิสูจน์ข้อเท็จจริง
คดีฟ้องเรียกให้ชำระค่าก่อสร้าง บรรยายฟ้องเกี่ยวกับงานก่อสร้างเพิ่มเติมแต่เพียงว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมอีกเป็นเงิน 14,600 บาท โดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมเมื่อไร เป็นงานอะไร คิดค่าจ้างเพิ่มเป็นเงินเท่าใด และจำเลยชำระแล้วเท่าใด เป็นฟ้องที่มิได้แสดงแจ้งชัดเพื่อมิได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพของข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นนั้น ฟ้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 ว่าจ้างเหมาะโจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทตามสัญญาจ้างเหมาท้ายฟ้องซึง่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะจำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะตัวแทน ดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทนี้เองแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลจะยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเป็นตัวแทน แต่ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่ามีเหตุอย่างใดที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยลำพังสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยทึ 1 จึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ตามที่ขอมาได้นั้นข้อหาไม่
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 ว่าจ้างเหมาะโจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทตามสัญญาจ้างเหมาท้ายฟ้องซึง่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะจำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะตัวแทน ดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทนี้เองแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลจะยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเป็นตัวแทน แต่ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่ามีเหตุอย่างใดที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยลำพังสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยทึ 1 จึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ตามที่ขอมาได้นั้นข้อหาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม, สัญญาจ้างเหมา, ตัวแทน/ตัวการ, ความรับผิดตามสัญญา, การพิสูจน์ข้อเท็จจริง
คดีฟ้องเรียกให้ชำระค่าก่อสร้าง บรรยายฟ้องเกี่ยวกับงานก่อสร้างเพิ่มเติมแต่เพียงว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมอีกเป็นเงิน 14,600 บาท โดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าจำเลยตกลงจ้างโจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมเมื่อไร เป็นงานอะไรบ้าง คิดค่าจ้างเพิ่มเป็นเงินเท่าใดและจำเลยชำระแล้วเท่าใด เป็นฟ้องที่มิได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นนั้น ฟ้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 ว่าจ้างเหมาโจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์แต่ตามสัญญาจ้างเหมาท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 เอง ทั้งจำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะตัวแทน ดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทนี้เองแล้วจำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลจะยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเป็นตัวแทน แต่ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่ามีเหตุอย่างใดที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยลำพังสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ตามที่ขอมาได้นั้นหาได้ไม่
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 ว่าจ้างเหมาโจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์แต่ตามสัญญาจ้างเหมาท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 เอง ทั้งจำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะตัวแทน ดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทนี้เองแล้วจำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลจะยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเป็นตัวแทน แต่ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่ามีเหตุอย่างใดที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยลำพังสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ตามที่ขอมาได้นั้นหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1878/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษี การพิสูจน์ข้อเท็จจริง และเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
เจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจสอบไต่สวนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19, 20 แล้วก่อนประเมิน ครั้นคดีขึ้นสู่ศาลโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าการประเมินภาษีเงินได้ของเจ้าพนักงานไม่ถูกต้อง จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบหักล้างการประเมิน ถ้ารายใดโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าการประเมินไม่ถูกต้อง ก็ต้องถือว่าการประเมินนั้นถูกต้อง
เมื่อได้มีการเรียกพยานหลักฐานต่าง ๆ มาพิจารณาในชั้นไต่สวนแล้วก็ถือว่าได้มีการไต่สวนโดยชอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19,20 แล้ว การที่เจ้าพนักงานประเมินจะเรียกผู้ใดมาสอบถามหรือไม่และสอบถามอย่างไร เป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ ไม่มีผลทำให้การไต่สวนเสียไป
แม้ตามเอกสารของบริษัทแสดงว่าบริษัทจ่ายเงินค่าพาหนะแก่โจทก์ในการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อดูงาน แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้จ่ายประสงค์จะจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อดูงานจริง ๆ หากแต่เป็นการจ่ายเป็นค่าตอบแทนในฐานะโจทก์เป็นประธานกรรมการบริษํทแล้ว โจทก์ย่อมไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) แต่ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1)(2)
สิทธิการเช่าตึกคิดเป็นเงิน 800,000 บาท ที่โจทก์ได้มาโดยไม่ได้จ่ายค่าทดแทนถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่โจทก์ได้รับซึ่งอาจคำนวณได้เป็นเงินได้จากการอื่นซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ละเลยไม่เสียภาษีเงินได้ จึงสมควรที่จะต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 ที่โจทก์อ้างว่าไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้ดังกล่าว แต่เป็นเพราะโจทก์มีภารกิจหน้าที่การงานมากเรื่องภาษีอากรโจทก์ไม่ได้ทำเอง โจทก์ไม่มีความรู้ว่าต้องเสียภาษีอะไรเท่าใด คนของโจทก์จัดทำมาให้เสร็จ ทั้งขณะนั้นโจทก์กำลังประสบกับความทุกข์อย่างหนักตามที่ยกขึ้นกล่าวก็ไม่ใช่เหตุผลในกฎหมายอันทำให้โจทก์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
เมื่อได้มีการเรียกพยานหลักฐานต่าง ๆ มาพิจารณาในชั้นไต่สวนแล้วก็ถือว่าได้มีการไต่สวนโดยชอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19,20 แล้ว การที่เจ้าพนักงานประเมินจะเรียกผู้ใดมาสอบถามหรือไม่และสอบถามอย่างไร เป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ ไม่มีผลทำให้การไต่สวนเสียไป
แม้ตามเอกสารของบริษัทแสดงว่าบริษัทจ่ายเงินค่าพาหนะแก่โจทก์ในการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อดูงาน แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้จ่ายประสงค์จะจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อดูงานจริง ๆ หากแต่เป็นการจ่ายเป็นค่าตอบแทนในฐานะโจทก์เป็นประธานกรรมการบริษํทแล้ว โจทก์ย่อมไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) แต่ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1)(2)
สิทธิการเช่าตึกคิดเป็นเงิน 800,000 บาท ที่โจทก์ได้มาโดยไม่ได้จ่ายค่าทดแทนถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่โจทก์ได้รับซึ่งอาจคำนวณได้เป็นเงินได้จากการอื่นซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ละเลยไม่เสียภาษีเงินได้ จึงสมควรที่จะต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 ที่โจทก์อ้างว่าไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้ดังกล่าว แต่เป็นเพราะโจทก์มีภารกิจหน้าที่การงานมากเรื่องภาษีอากรโจทก์ไม่ได้ทำเอง โจทก์ไม่มีความรู้ว่าต้องเสียภาษีอะไรเท่าใด คนของโจทก์จัดทำมาให้เสร็จ ทั้งขณะนั้นโจทก์กำลังประสบกับความทุกข์อย่างหนักตามที่ยกขึ้นกล่าวก็ไม่ใช่เหตุผลในกฎหมายอันทำให้โจทก์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ยื่นระบุพยานตามกำหนด ทำให้ศาลไม่รับให้สืบพยาน โจทก์จึงไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้
นัดสืบพยานจำเลยก่อนในวันที่ 24 ธันวาคม โจทก์ต้องยื่นระบุพยานอย่างช้าวันที่ 20 โจทก์ยื่นระบุพยานวันที่ 23 โดยมิได้แสดงเหตุสมควรอันใดศาลไม่รับและไม่ให้โจทก์นำสืบพยาน ศาลสืบพยานจำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนนิติกรรมและการพิสูจน์สถานะผู้จัดการมรดก จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงก่อน
โจทก์ฟ้องว่า ผ.เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์กำลังจัดการมรดกอยู่ เมื่อ ผ.ยังมีชีวิตอยู่นั้นจำเลยได้ฉ้อฉล ผ. ให้ ผ.ยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมยกให้นั้น จำเลยให้การปฏิเสธพินัยกรรมท้ายฟ้องและว่าถ้า ผ.ได้ทำพินัยกรรมนั้นจริง ก็ถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลังแล้ว โจทก์มิได้เป็นทายาทและผู้จัดการมรดก ผ.ยกทรัพย์ดังกล่าวให้จำเลยโดยชอบด้วยใจสมัคร และโจทก์ขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกตามคดีดำที่ 6368/2516 ซึ่งยังพิพาทกันอยู่ ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1712 เจ้ามรดกมีสิทธิที่ตั้งผู้จัดการมรดกได้แต่เรื่องนี้ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่า พินัยกรรมที่โจทก์อ้างจะเป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องแท้จริงหรือไม่เจ้ามรดกได้ระบุไว้ในพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกจริงหรือไม่ โจทก์มีข้อเสื่อมเสียประการใดและมีพินัยกรรมฉบับหลังเพิกถอนการตั้งผู้จัดการมรดกที่โจทก์อ้างหรือไม่ เหล่านี้เป็นข้อที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงกันต่อไปเพื่อที่จะได้ทราบชัดว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ แม้ว่าศาลจะมีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้เอง แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีศาลก็ควรจะได้ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ถ่องแท้เสียก่อนจึงจะวินิจฉัยได้ แม้คดีหมายเลขดำที่ 6268/2516 นั้น คณะผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาเป็นคณะเดียวกับคดีนี้ แต่ก็เป็นคนละคดีกันและมิได้รวมพิจารณาจะนำข้อเท็จจริงในคดีหนึ่งมาใช้กับอีกคดีหนึ่งหาได้ไม่ เมื่อโจทก์มิได้แถลงรับในข้อนี้ก็จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน: ประเด็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและการใช้สิทธิเรียกร้องหนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 11,300 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตั้งแต่กู้เงินไปไม่เคยชำระดอกเบี้ยครบกำหนดชำระแล้วโจทก์ทวงถามก็เพิกเฉยขอให้ศาลบังคับจำเลยร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันจริงจำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามสัญญาที่ฟ้องไปแล้วแต่ขณะกู้เงินยังมิได้กรอกรายการใดๆ อันจะต้องรับผิดลงในสัญญา จำเลยตกลงกู้เงินโจทก์ 6 เดือน มิใช่ 1 เดือน ดังที่โจทก์ฟ้องและตกลงกันให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน จำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแล้วแต่โจทก์ไม่ออกใบรับให้ สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมขอให้ยกฟ้องและทำลายสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยมิได้โต้แย้งว่ามิได้กู้ยืมเงินโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 รับว่าได้ลงชื่อในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจริงโดยมิได้ถูกหลอกลวงหรือหลงผิดแต่อย่างใด เงินดอกเบี้ยก็มิได้โต้เถียงว่าเกินอัตราที่ตกลงกันเพียงแต่อ้างว่ากำหนดเวลาชำระหนี้ 6 เดือน ไม่ใช่ 1 เดือนตามสัญญาแต่โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 6 เดือนแล้วแม้โจทก์จะกรอกข้อความลงในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันโดยลำพัง มิได้รับความยินยอมหรือรู้เห็นจากจำเลยทั้งสองจริงดังที่อ้างก็ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองชนะคดีได้ และที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้รายนี้หมดแล้วก็ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนหรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วจำเลยจึงนำสืบถึงการใช้เงินไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การดังกล่าวนี้ไม่ได้ จึงไม่มีเหตุที่จะฟ้องแย้งศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1735/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติคำท้าพิสูจน์ข้อเท็จจริงต้องเป็นไปตามที่คู่ความตกลง หากไม่ตรงตามข้อตกลง ศาลยังไม่สามารถพิพากษาคดีได้
สำเนาคำฟ้องฎีกา เมื่อเจ้าพนักงานศาลรายงานว่า สั่งให้จำเลยฎีกาไม่ได้เพราะตัวจำเลยตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ฎีกาแถลงมาภายใน 5 วัน โจทก์ทราบคำสั่งแล้วครบกำหนด 5 วันไม่แถลงให้ศาลทราบย่อมถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ได้
คู่ความตกลงท้ากันให้พนักงานที่ดินอำเภอและปลัดอำเภอ คนใดคนหนึ่งแล้วแต่นายอำเภอจะกำหนดตัวพากันไปดูที่พิพาทร่วมกับคู่ความ เพื่อต้องการทราบว่าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 2 หรือหมู่ที่ 3 ตำบลสำโรงชัย แล้วรายงานมายังศาล ถ้าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 3 ให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะถ้าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 2 ให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะ เมื่อปรากฏว่าเสมียนพนักงานที่ดินกับปลัดอำเภอไปดูที่พิพาทแทนตัวพนักงานที่ดินจึงไม่ตรงกับความประสงค์ของคู่ความที่ท้ากัน ถือได้ว่ายังไม่มีการปฏิบัติโดยถูกต้องตามคำท้า ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะคดียังไม่ได้
คู่ความตกลงท้ากันให้พนักงานที่ดินอำเภอและปลัดอำเภอ คนใดคนหนึ่งแล้วแต่นายอำเภอจะกำหนดตัวพากันไปดูที่พิพาทร่วมกับคู่ความ เพื่อต้องการทราบว่าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 2 หรือหมู่ที่ 3 ตำบลสำโรงชัย แล้วรายงานมายังศาล ถ้าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 3 ให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะถ้าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 2 ให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะ เมื่อปรากฏว่าเสมียนพนักงานที่ดินกับปลัดอำเภอไปดูที่พิพาทแทนตัวพนักงานที่ดินจึงไม่ตรงกับความประสงค์ของคู่ความที่ท้ากัน ถือได้ว่ายังไม่มีการปฏิบัติโดยถูกต้องตามคำท้า ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะคดียังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1735/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติคำท้าพิสูจน์ข้อเท็จจริงต้องตรงตามความประสงค์คู่ความ หากไม่ตรง ศาลไม่ถือเป็นข้อพิสูจน์
สำเนาคำฟ้องฎีกา เมื่อเจ้าพนักงานศาลรายงานว่า สั่งให้จำเลยฎีกาไม่ได้เพราะตัวจำเลยตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ฎีกาแถลงมาภายใน 5 วัน โจทก์ทราบคำสั่งแล้วครบกำหนด 5 วันไม่แถลงให้ศาลทราบย่อมถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ได้
คู่ความตกลงท้ากันให้พนักงานที่ดินอำเภอและปลัดอำเภอคนใดคนหนึ่งแล้วแต่นายอำเภอจะกำหนดตัวพากันไปดูที่พิพาทร่วมกับคู่ความ เพื่อต้องการทราบว่าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 2 หรือหมู่ที่ 3 ตำบลสำโรงชัย แล้วรายงานมายังศาล ถ้าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 3 ให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะถ้าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 2 ให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะ เมื่อปรากฏว่าเสมียนพนักงานที่ดินกับปลัดอำเภอไปดูที่พิพาทแทนตัวพนักงานที่ดินจึงไม่ตรงกับความประสงค์ของคู่ความที่ท้ากัน ถือได้ว่ายังไม่มีการปฏิบัติโดยถูกต้องตามคำท้า ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะคดียังไม่ได้
คู่ความตกลงท้ากันให้พนักงานที่ดินอำเภอและปลัดอำเภอคนใดคนหนึ่งแล้วแต่นายอำเภอจะกำหนดตัวพากันไปดูที่พิพาทร่วมกับคู่ความ เพื่อต้องการทราบว่าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 2 หรือหมู่ที่ 3 ตำบลสำโรงชัย แล้วรายงานมายังศาล ถ้าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 3 ให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะถ้าที่พิพาทอยู่หมู่ที่ 2 ให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะ เมื่อปรากฏว่าเสมียนพนักงานที่ดินกับปลัดอำเภอไปดูที่พิพาทแทนตัวพนักงานที่ดินจึงไม่ตรงกับความประสงค์ของคู่ความที่ท้ากัน ถือได้ว่ายังไม่มีการปฏิบัติโดยถูกต้องตามคำท้า ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะคดียังไม่ได้