คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พิสูจน์สัญชาติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 50 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ต้องเป็นการโต้แย้งการเข้าเมือง ไม่ใช่การถอนสัญชาติโดยชอบ
การขอพิสูจน์ว่าตนมีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองนั้น ผู้ขอจะต้องเป็นคนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยอ้างว่าเป็นคนมีสัญชาติไทย แต่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่โต้แย้งเกี่ยวกับการเข้ามาในราชอาณาจักรว่าเป็นคนต่างด้าวจึงจะร้องขอพิสูจน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ และเมื่อไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีสิทธิร้องขอต่อศาลให้พิจารณา โดยยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทได้
ผู้ร้องเป็นชายสัญชาติไทยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับหญิงสัญชาติญวนรับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราว มีบุตรเกิดด้วยกัน ทางจังหวัดสั่งถอนสัญชาติไทยของบุตร ผู้ร้องจะใช้สิทธิทางศาลตาม พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 57 ขอพิสูจน์สัญชาติของบุตรไม่ได้ เมื่อเป็นการโต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับสัญชาติของบุตรผู้เยาว์ ก็ชอบที่จะฟ้องผู้โต้แย้งสิทธิเป็นคดีมีข้อพิพาทต่อศาลได้ ปัญหานี้แม้ผู้คัดค้านมิได้ยกขึ้นโต้แย้งแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญชาติไทยต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และเสียค่าธรรมเนียมก่อน จึงมีสิทธิขอให้ศาลพิจารณา
พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 57 ได้บัญญัติถึงขั้นตอนของการร้องขอพิสูจน์การมีสัญชาติไทยไว้ว่า ผู้ที่จะขอพิสูจน์ว่าตนมีสัญชาติไทย จะต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และเสียค่าธรรมเนียมเสียก่อนต่อเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งประการใดแล้ว ผู้นั้นไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่จะร้องขอให้ศาลพิจารณาก็ได้ ผู้ร้องซึ่งประสงค์จะขอพิสูจน์สัญชาติไทย จึงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าวเสียก่อน เมื่อผู้ร้องไม่เคยยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติไทยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และเสียค่าธรรมเนียม ผู้ร้องจึงยังไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นคนมีสัญชาติไทย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญชาติไทยต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน จึงจะสามารถขอให้ศาลพิจารณาได้
พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 57 ได้บัญญัติถึงขั้นตอนของการร้องขอพิสูจน์การมีสัญชาติไทยไว้ว่า ผู้ที่จะขอพิสูจน์ว่าตนมีสัญชาติไทย จะต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และเสียค่าธรรมเนียมเสียก่อนต่อเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งประการใดแล้วผู้นั้นไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่จะร้องขอให้ศาลพิจารณาก็ได้ผู้ร้องซึ่งประสงค์จะขอพิสูจน์สัญชาติไทย จึงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าวเสียก่อนเมื่อผู้ร้องไม่เคยยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติไทยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และเสียค่าธรรมเนียมผู้ร้องจึงยังไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นคนมีสัญชาติไทย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฐานะนิติบุคคลของกองตรวจคนเข้าเมือง & การพิสูจน์สัญชาติ - ศาลฎีกายกฟ้อง
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ข้อ 5 กำหนดให้กรมตำรวจมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่การแบ่งส่วนราชการในกรมตำรวจออกเป็นกองตามข้อ 31 มิได้กำหนดให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล กองตรวจคนเข้าเมืองจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้ แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
หนังสือของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องของโจทก์ ซึ่งโจทก์ขอเป็นคนเข้าเมืองเพื่อมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยได้ โดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า ได้นำเรื่องเสนอกรมตำรวจพิจารณาแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เป็นคนเข้าเมืองตามคำร้องขอและแจ้งไปด้วยว่าให้โจทก์รีบเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรโดยด่วน ดังนี้ เท่ากับเป็นการเตือนให้โจทก์ทราบในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหนังสือเดินทางของประเทศอื่น และได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว ยังถือไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์ยังมิได้อ้างต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองเลยว่าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีสิทธิจะอยู่ในราชอาณาจักรได้ในฐานะที่เป็นคนไทย พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493มาตรา 43 ซึ่งใช้อยู่ในขณะโจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เปิดโอกาสให้โจทก์ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาล แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกรมตำรวจ จำเลยที่ 1 โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของโจทก์ และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ก็จะถือว่ามีลักษณะเป็นการร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลไม่ได้ จึงไม่อาจวินิจฉัยเรื่องสัญชาติของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2001/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการพิสูจน์สัญชาติ: การแสดงตนเป็นคนต่างด้าวตั้งแต่แรกย่อมไม่อาจอ้างสิทธิพิสูจน์สัญชาติภายหลังได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเป็นคนสัญชาติไทย แต่พี่ชายส่งผู้ร้องไปเรียนหนังสือที่ประเทศจีน ผู้ร้องได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย ต่อมาพนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จับผู้ร้องในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต ผู้ร้องอ้างว่าเกิดในประเทศไทย มีสัญชาติเป็นคนไทยขอให้ปล่อยตัวพนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งให้ผู้ร้องขอพิสูจน์ให้ศาลสั่งว่าเป็นคนไทยเสียก่อน จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 43 ได้ความว่าผู้ร้องเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2489 ครั้งยังใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2480 อยู่ ขณะเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ผู้ร้องได้แสดงตนเป็นคนต่างด้าวและทำหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปแล้ว โดยมิได้ขอพิสูจน์ว่าเป็นคนไทยตามมาตรา 28 แต่อย่างใดการมายื่นคำร้องนี้จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง จะอาศัยอำนาจตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ บุคคลใดจะใช้สิทธิทางศาลดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 นั้น ต้องมีกฎหมายสนับสนุนหรือรับรองให้ใช้สิทธิเช่นนั้นไว้ เมื่อกรณีนี้จะอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองไม่ได้แล้วผู้ร้องย่อมยังไม่มีสิทธิจะเสนอคดีต่อศาลเช่นนี้ได้ หากผู้ร้องถือว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิ ก็ชอบที่จะฟ้องผู้โต้แย้งสิทธิเป็นคดีต่อศาลได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 657/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2001/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทย: การแสดงตนเป็นคนต่างด้าวเมื่อเข้ามาในราชอาณาจักรย่อมตัดสิทธิการขอพิสูจน์สัญชาติไทยในภายหลัง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเป็นคนสัญชาติไทย แต่พี่ชายส่งผู้ร้องไปเรียนหนังสือที่ประเทศจีน ผู้ร้องได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย ต่อมาพนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จับผู้ร้องในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต ผู้ร้องอ้างว่าเกิดในประเทศไทย มีสัญชาติเป็นคนไทยขอให้ปล่อยตัวพนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งให้ผู้ร้องขอพิสูจน์ให้ศาลสั่งว่าเป็นคนไทยเสียก่อน จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493 มาตรา 43 ได้ความว่าผู้ร้องเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่พ.ศ.2489 ครั้งยังใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2480อยู่ ขณะเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ผู้ร้องได้แสดงตนเป็นคนต่างด้าว และทำหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปแล้ว โดยมิได้ขอพิสูจน์ว่าเป็นคนไทยตามมาตรา 28 แต่อย่างใดการมายื่นคำร้องนี้จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง จะอาศัยอำนาจตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ บุคคลใดจะใช้สิทธิทางศาลดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 นั้น จะต้องมีกฎหมายสนับสนุนหรือรับรองให้ใช้สิทธิเช่นนั้นไว้ เมื่อกรณีนี้จะอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองไม่ได้แล้ว ผู้ร้องย่อมยังไม่มีสิทธิจะเสนอคดีต่อศาลเช่นนี้ได้ หากผู้ร้องถือว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิ ก็ชอบที่จะฟ้องผู้โต้แย้งสิทธิเป็นคดีต่อศาลได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 657/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิขอพิสูจน์สัญชาติจำกัดเฉพาะผู้เข้ามาในราชอาณาจักร, ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ผู้ร้องซึ่งไม่เคยออกจากประเทศไทยเลยจะร้องขอพิสูจน์สัญชาติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493 มาตรา 43 ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ซึ่งเข้าในราชอาณาจักร
สิทธินำคดีมาฟ้อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
(คดีประชุมใหญ่ครั้งที่ 23/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทย: ผู้ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ ไม่มีสิทธิขอพิสูจน์สัญชาติภายใต้ พ.ร.ก.คนเข้าเมือง
ผู้ร้องซึ่งไม่เคยออกจากประเทศไทยเลยจะร้องขอพิสูจน์สัญชาติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493 มาตรา 43 ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ซึ่งเข้าในราชอาณาจักร
สิทธินำคดีมาฟ้อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้(คดีประชุมใหญ่ครั้งที่ 23/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้กลับออกนอกประเทศ ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิในสัญชาติ โจทก์ต้องพิสูจน์สัญชาติก่อนฟ้อง
เจ้าหน้าที่กรมตรวจคนเข้าเมืองมีหนังสือท้าวความถึงการที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศ และบอกให้ทราบว่าโจทก์จะต้องเดินทางกลับออกไปภายในกำหนดที่ได้รับอนุญาต เป็นการเตือนให้โจทก์ซึ่งถือหนังสือเดินทางคนต่างด้าวรู้ไว้เท่านั้น ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์
การที่เจ้าหน้าที่กรมตรวจคนเข้าเมืองบอกว่าถ้าจะอยู่เกินกว่ากำหนด ก็ต้องฟ้องคดีต่อศาลแล้วนำหลักฐานว่าได้ฟ้องคดีแล้วนั้นมาแสดงจึงจะอยู่ได้ต่อไปจนกว่าศาลจะตัดสินนั้น เป็นแต่เพียงคำแนะนำไม่ใช่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ว่าไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย และก็ไม่เป็นการกระทำอันจะพึงถือว่าเจ้าหน้าที่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์อย่างแท้จริงอันควรฟ้องร้องได้
เมื่อโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิพิสูจน์สัญชาติต่อเจ้าหน้าที่แล้ว สิทธิเรื่องสัญชาติของโจทก์ก็ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งโดยเจ้าหน้าที่ โจทก์จะฟ้องเจ้าหน้าที่ต่อศาลไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 1023/2505)
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญชาติและการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่: การแจ้งให้กลับออกนอกประเทศไม่ใช่การโต้แย้งสิทธิ และศาลมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องได้
เจ้าหน้าที่กรมตรวจคนเข้าเมืองมีหนังสือท้าวความถึงการที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศ และบอกให้ทราบว่าโจทก์จะต้องเดินทางกลับออกไปภายในกำหนดที่ได้รับอนุญาต เป็นการเตือนให้โจทก์ซึ่งถือหนังสือเดินทางคนต่างด้าวรู้ไว้เท่านั้น ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์
การที่เจ้าหน้าที่กรมตรวจคนเข้าเมืองบอกว่าถ้าจะอยู่เกินกว่ากำหนด ก็ต้องฟ้องคดีต่อศาลแล้วนำหลักฐานว่าได้ฟ้องคดีแล้วนั้นมาแสดงจึงจะอยู่ได้ต่อไปจนกว่าศาลจะตัดสินนั้นเป็นแต่เพียงคำแนะนำ ไม่ใช่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ว่าไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย และก็ไม่เป็นการกระทำอันจะพึงถือว่าเจ้าหน้าที่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์อย่างแท้จริงอันควรฟ้องร้องได้
เมื่อโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิพิสูจน์สัญชาติต่อเจ้าหน้าที่แล้ว สิทธิเรื่องสัญชาติของโจทก์ก็ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งโดยเจ้าหน้าที่ โจทก์จะฟ้องเจ้าหน้าที่ต่อศาลไม่ได้(อ้างฎีกาที่ 1023/2505)
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้างศาลก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
of 5