พบผลลัพธ์ทั้งหมด 130 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7436/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์, ความรับผิดจากการขนส่ง, การแก้ไขคำพิพากษาเรื่องดอกเบี้ย
ภาระการพิสูจน์ของคู่ความต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและหากชั้นชี้สองสถานศาลกำหนดภาระการพิสูจน์ผิดพลาดไป ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีไปตามภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้องได้
โจทก์และจำเลยได้สืบพยานไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นจนสิ้นกระแสความ และศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยพยานโจทก์จำเลยไปตามที่คู่ความได้นำสืบโดยฟังว่าสินค้าพิพาทเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลย แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีว่า ความเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดตามสภาพแห่งของนั้นเองหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง ตาม ป.พ.พ.มาตรา 616 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะปัญหาดังกล่าวไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า รถเทรลเลอร์ที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ตามฟ้องของโจทก์เป็นรถของบริษัท ท. รายละเอียดและพยานหลักฐาน จำเลยที่ 2จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป คำให้การของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวหาได้มีข้อต่อสู้ที่จำเลยจะนำสืบได้ว่าสินค้าอาจเสียหายก่อนที่จำเลยจะได้รับจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยและความรับผิดของจำเลยสิ้นสุดลงเมื่อสินค้าถูกส่งขึ้นรถเทรลเลอร์แล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นมาวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
เมื่อปรากฏว่า ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าเสียหายไป แต่กลับพิพากษาให้ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนซึ่งไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์และจำเลยได้สืบพยานไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นจนสิ้นกระแสความ และศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยพยานโจทก์จำเลยไปตามที่คู่ความได้นำสืบโดยฟังว่าสินค้าพิพาทเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลย แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีว่า ความเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดตามสภาพแห่งของนั้นเองหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง ตาม ป.พ.พ.มาตรา 616 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะปัญหาดังกล่าวไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า รถเทรลเลอร์ที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ตามฟ้องของโจทก์เป็นรถของบริษัท ท. รายละเอียดและพยานหลักฐาน จำเลยที่ 2จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป คำให้การของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวหาได้มีข้อต่อสู้ที่จำเลยจะนำสืบได้ว่าสินค้าอาจเสียหายก่อนที่จำเลยจะได้รับจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยและความรับผิดของจำเลยสิ้นสุดลงเมื่อสินค้าถูกส่งขึ้นรถเทรลเลอร์แล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นมาวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
เมื่อปรากฏว่า ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าเสียหายไป แต่กลับพิพากษาให้ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนซึ่งไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7436/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์, ความรับผิดขนส่งสินค้าเสียหาย, ดอกเบี้ยผิดสัญญา, การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาท
ภาระการพิสูจน์ของคู่ความต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและหากชั้นชี้สองสถานศาลกำหนดภาระการพิสูจน์ผิดพลาดไป ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีไปตามภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้องได้ โจทก์และจำเลยได้สืบพยานไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นจนสิ้นกระแสความ และศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยพยานโจทก์จำเลยไปตามที่คู่ความได้นำสืบโดยฟังว่าสินค้าพิพาทเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลย แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีว่า ความเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดตามสภาพแห่งของนั้นเองหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะปัญหาดังกล่าวไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า รถเทรลเลอร์ ที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ ตามฟ้องของโจทก์เป็นรถของบริษัท ท. รายละเอียดและพยานหลักฐานจำเลยที่ 2 จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป คำให้การของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวหาได้มีข้อต่อสู้ที่จำเลยจะนำสืบได้ว่าสินค้าอาจเสียหายก่อนที่จำเลยจะได้รับจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยและความรับผิดของจำเลยสิ้นสุดลงเมื่อสินค้าถูกส่งขึ้นรถเทรลเลอร์ แล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นมาวินิจฉัยจึงชอบแล้ว เมื่อปรากฏว่า ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าเสียหายไป แต่กลับพิพากษาให้ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนซึ่งไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5024/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีกู้ยืมเงิน: โจทก์ต้องพิสูจน์การทำสัญญา
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์สัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอมโดยโจทก์กรอกข้อความลงในเอกสารว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง คำให้การของจำเลยเป็นการปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้อง โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามข้ออ้างของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5024/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีกู้ยืมเงิน: โจทก์ต้องพิสูจน์การทำสัญญาและรับเงิน หากจำเลยปฏิเสธ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ สัญญากู้ยืมเงิน เป็นเอกสารปลอมโดยโจทก์กรอกข้อความลงในเอกสารว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง คำให้การของจำเลยเป็นการปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้อง โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามข้ออ้างของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3048/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การแจ้งความเท็จ การกำหนดประเด็นและภาระการพิสูจน์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแจ้งขอความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาแก่พนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมกันขุดถนนริมคลองไหหลำอันเป็นถนนสาธารณะทำให้ถนนอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจรอันเป็นความผิดและมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา172ทำให้โจทก์ทั้งสี่เสียหายเพราะถูกฟ้องคดีอาญาคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งมีกำหนดอายุความทางอาญา10ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา95(3)โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งภายในกำหนด10ปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา51วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ร่วมกันขุดถนนสาธารณะความจริงโจทก์ทั้งสี่ขุดรางน้ำในที่ดินโฉนดเลขที่260ของโจทก์ที่1กับบ.ทำให้โจทก์ทั้งสี่ถูกดำเนินคดีอาญาได้รับความเสียหายเป็นเงิน400,000บาทจำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ขุดเป็นที่ดินสาธารณะไม่ใช่ที่ดินในโฉนดเลขที่260โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหายประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ขุดถนนสาธารณะนั้นเป็นความเท็จอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่หรือไม่โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยเพียงใดโจทก์ทั้งสี่เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเป็นความเท็จการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน400,000 บาทหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นจึงตกอยู่แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา84ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยกระทำละเมิดโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ค่าเสียหายเพียงใดและกำหนดว่าภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ทั้งสี่จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าที่ดินเป็นของตน ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดิน ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ เท่ากับอ้างว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองหรืออีกนัยหนึ่งที่ดินเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินดังกล่าวไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบ ให้ได้ความว่าที่ดินเป็นของโจทก์ และโดยที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1369 เพราะโจทก์จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์สิทธิครอบครองที่ดิน: ผู้ฟ้องมีหน้าที่พิสูจน์ความเป็นเจ้าของเมื่อถูกโต้แย้งว่าเป็นที่สาธารณะ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินโจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และโดยที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินแม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6299/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์การชำระหนี้และการคิดดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้ชำระหนี้ค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วจึงตกอยู่แก่จำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6299/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์การชำระหนี้ค่าแชร์และการคำนวณดอกเบี้ยที่ถูกต้อง
จำเลยให้การว่าได้ชำระหนี้ค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วจึงตกอยู่แก่จำเลย โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5132/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและภาระการพิสูจน์ ศาลวินิจฉัยจากพยานหลักฐานโดยรวม
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทเป็นการกำหนดเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นพิพาทของคู่ความ ส่วนการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นใดก่อนหรือหลัง ย่อมเป็นไปเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินกระบวนการพิจารณา แต่การวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้น ต้องวินิจฉัยจากถ้อยคำพยานที่คู่ความนำสืบมาประกอบกัน โดยพิจารณาตามภาระหน้าที่ในการพิสูจน์ของแต่ละฝ่าย หาใช่ว่าฝ่ายใดมีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อนแล้วจะต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของฝ่ายนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่
โจทก์ฟ้องว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 กึ่งหนึ่งอีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของสามีโจทก์ที่ 1 ตกได้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยในฐานะทายาทคนละส่วนเท่า ๆ กัน จำเลยต่อสู้ว่าบ้านและที่ดินพิพาทจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวตามข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์สิน และจำเลยครอบครองมาด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปี แล้วจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์มิได้ดำเนินคดีภายในกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างว่า บ้านและที่ดินพิพาทได้มีการแบ่งปันตกเป็นของจำเลยโดยชอบ จนกระทั่งจำเลยได้มาซึ่งสิทธิครอบครองตาม น.ส.3 ก. แม้จำเลยเป็นผู้มีชื่อใน น.ส.3 ก. และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่จำเลยยังต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินตามข้อตกลงของทายาทโดยชอบ และได้ครอบครองเพื่อตนและโดยสุจริต อันเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมาใหม่อีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า "โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยได้ตกลงแบ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้องหรือไม่ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่" แล้วให้จำเลยเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนทั้งสองประเด็นโดยที่ประเด็นข้อหลังภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาความแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 กึ่งหนึ่งอีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของสามีโจทก์ที่ 1 ตกได้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยในฐานะทายาทคนละส่วนเท่า ๆ กัน จำเลยต่อสู้ว่าบ้านและที่ดินพิพาทจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวตามข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์สิน และจำเลยครอบครองมาด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปี แล้วจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์มิได้ดำเนินคดีภายในกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างว่า บ้านและที่ดินพิพาทได้มีการแบ่งปันตกเป็นของจำเลยโดยชอบ จนกระทั่งจำเลยได้มาซึ่งสิทธิครอบครองตาม น.ส.3 ก. แม้จำเลยเป็นผู้มีชื่อใน น.ส.3 ก. และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่จำเลยยังต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินตามข้อตกลงของทายาทโดยชอบ และได้ครอบครองเพื่อตนและโดยสุจริต อันเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมาใหม่อีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า "โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยได้ตกลงแบ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้องหรือไม่ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่" แล้วให้จำเลยเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนทั้งสองประเด็นโดยที่ประเด็นข้อหลังภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาความแล้ว