คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
มูลนิธิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 42 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งตั้งกรรมการมูลนิธิ: ความเห็นต่างและความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่
การที่ผู้คัดค้านไม่เห็นพ้องด้วยกับการแต่งตั้งกรรมการใหม่8 คน ของมูลนิธินั้น มิได้แสดงว่าความเห็นของผู้คัดค้านจะถูกต้องเสมอไป การแต่งตั้งกรรมการในกรณีเช่นนี้ย่อมจะทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนพอใจได้ยาก การขัดแย้งกันในด้านความเห็นย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา การที่กรรมการใหม่ปฏิบัติศาสนกิจไม่ตรงกับผู้คัดค้านก็มิได้แสดงว่าผู้คัดค้านเป็นฝ่ายที่ปฏิบัติศาสนกิจถูกต้องกว่ากรรมการใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3304/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจการยื่นคำร้องเลิกมูลนิธิ และเหตุขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการปกครองท้องที่ตามความแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 97 ดำรงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนมีอำนาจอนุญาตให้มูลนิธิที่ได้รับอนุญาตแล้วจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตลอดจนมีอำนาจออกกฎกระทรวงและดูแลมูลนิธิทั้งหลายให้ปฏิบัติตามกฎหมายและตราสารจัดตั้งมูลนิธินั้น ๆ แต่หาได้มีส่วนได้เสียโดยตรงกับมูลนิธิไม่ จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 93 ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเลิกมูลนิธิ
การที่มูลนิธิผู้คัดค้านที่ 1 ร่วมกันกับพวกทำหนังสือกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และทรงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการอาจเอื้อมไม่บังควรอย่างยิ่งและเป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้อง ยุคลบาท น่าจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันอาจจะมีผลทำให้ประชาชนที่รู้ข้อความในหนังสือดังกล่าวเดินขบวนในแง่ไม่เห็นด้วย จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งพนักงานอัยการชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เลิกมูลนิธิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 93 (1) สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติโดยเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มีอำนาจของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 มาตรา 14 จึงย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตที่ให้แก่สมาคมหรือองค์กร ใดซึ่งรวมถึงมูลนิธิด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3304/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจการฟ้องเลิกมูลนิธิ และเหตุขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการปกครองท้องที่ตามความแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 97 ดำรงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนมีอำนาจอนุญาตให้มูลนิธิที่ได้รับอนุญาตแล้วจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตลอดจนมีอำนาจออกกฎกระทรวงและดูแลมูลนิธิทั้งหลายให้ปฏิบัติตามกฎหมายและตราสารจัดตั้งมูลนิธินั้น ๆ แต่หาได้มีส่วนได้เสียโดยตรงกับมูลนิธิไม่ จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 93 ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเลิกมูลนิธิ การที่มูลนิธิผู้คัดค้านที่ 1 ร่วมกันกับพวกทำหนังสือกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และทรงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการอาจเอื้อมไม่บังควรอย่างยิ่งและเป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้องยุคลบาท น่าจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันอาจจะมีผลทำให้ประชาชนที่รู้ข้อความในหนังสือดังกล่าวเดินขบวนในแง่ไม่เห็นด้วย จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งพนักงานอัยการชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เลิกมูลนิธิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 93(1)สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติโดยเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มีอำนาจของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 มาตรา 14 จึงย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตที่ให้แก่สมาคมหรือองค์กร ใดซึ่งรวมถึงมูลนิธิด้วยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของกรรมการสมาคม/มูลนิธิ: ผู้จัดการเท่านั้นที่มีอำนาจฟ้องแทน
เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิของสมาคมและมูลนิธิ ผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนคือผู้จัดการสมาคมและมูลนิธิซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล กรรมการสมาคมและมูลนิธิไม่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดี
การฟ้องคดีแพ่ง มิใช่เป็นการทำนิติกรรม เพราะมิได้มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 112 หากแต่เป็นกรณีที่ฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่แล้วและถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ดังนั้น แม้ตราสารของมูลนิธิจะให้อำนาจโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการของมูลนิธิ ทำนิติกรรมของมูลนิธิได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของกรรมการสมาคม/มูลนิธิ: ผู้จัดการเท่านั้นที่มีอำนาจฟ้องแทน
เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิของสมาคมและมูลนิธิ ผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนคือผู้จัดการสมาคมและมูลนิธิซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล กรรมการสมาคมและมุลนิธิไม่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดี
การฟ้องคดีแพ่ง มิใช่เป็นการทำนิติกรรม เพราะมิได้มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 112 หากแต่เป็นกรณีที่ฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่แล้วและถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ดังนั้น แม้ตราสารของมูลนิธิจะให้อำนาจโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการของมูลนิธิทำนิติกรรมของมูลนิธิได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของกรรมการสมาคม/มูลนิธิ: ผู้มีอำนาจฟ้องคือผู้จัดการ ไม่ใช่กรรมการ
เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิของสมาคมและมูลนิธิผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนคือผู้จัดการสมาคมและมูลนิธิซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลกรรมการสมาคมและมุลนิธิไม่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดี การฟ้องคดีแพ่งมิใช่เป็นการทำนิติกรรมเพราะมิได้มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลงโอนสงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา112หากแต่เป็นกรณีที่ฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่แล้วและถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55ดังนั้นแม้ตราสารของมูลนิธิจะให้อำนาจโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการของมูลนิธิทำนิติกรรมของมูลนิธิได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2953/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์สินของมูลนิธิ การเบิกจ่ายเงินจากบัญชีธนาคารต้องเป็นไปตามข้อตกลง และการกระทำละเมิดของกรรมการ
โจทก์จดทะเบียนเป็นมูลนิธิถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย บรรดาทรัพย์สินต่างๆรวมทั้งองค์เซียนแป๊ะโค้วย่อมตกเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้ เงินที่ประชาชนบริจาคในการจัดงานฉลององค์เซียนแป๊ะโค้วและนำไปฝากไว้ในบัญชีนั้นถือว่าเป็นเงินที่บริจาคให้แก่องค์เซียนแป๊ะโค้ว จึงตกเป็นของโจทก์ผู้เป็นเจ้าขององค์เซียนแป๊ะโค้ว
เงินในบัญชีซึ่งเป็นเงินรายได้จากการจัดงานฉลององค์เซียนแป๊ะโค้วนั้น คู่ความทราบในคดีก่อนแล้วว่าได้มีการตกลงกันให้นำไปฝากไว้ที่ธนาคารโดยมีเงื่อนไขให้เบิกจ่ายได้ตามมติของคณะกรรมการจัดงาน และให้จำเลยที่2 ที่ 3 และบ.เป็นผู้ลงลายมือชื่อร่วมกันในเช็คเพื่อเบิกจ่ายเงินจากบัญชี ดังนั้นการเบิกจ่ายเงินจากบัญชีดังกล่าว จึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนี้เรื่อยไปจนกว่าคดีจะเสร็จหรือถึงที่สุด หาใช่ข้อตกลงนี้เป็นวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาซึ่งจะถูกยกเลิกไปเมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260 ไม่
เมื่อระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยที่ 3 ซึ่งพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าเขตลาดกระบังแล้ว กลับมีหนังสือแจ้งธนาคารขอเปลี่ยนแปลงยกเลิกกรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินตามข้อตกลงเดิมทั้งหมด แล้วให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 คนใดคนหนึ่งออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีแทนโดยไม่บอกกล่าวแถลงศาลก่อนหรือแจ้งบอกกล่าวแก่คู่ความในคดีนั้นซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง นอกจากจะเป็นการไม่ถูกต้องแล้วยังเรียกไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำโดยสุจริต จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีโดยควรรู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจเบิกถอนเพราะขัดกับข้อตกลง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1จึงทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 3 มีส่วนทำละเมิดดังกล่าวด้วยส่วนจำเลยที่ 2 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีโดยควรรู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจและเบิกถอนก่อนที่จำเลยที่ 3 จะมีหนังสือแจ้งธนาคารขอเปลี่ยนแปลงยกเลิกกรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์ตามลำพัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนใบอนุญาตสมาคมและมูลนิธิกรณีขัดต่อความมั่นคงและวัฒนธรรมของชาติ และคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว
เหตุที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 1 ขีดชื่อสมาคมซึ่งโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลออกจากทะเบียนสมาคม และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายอำเภอได้เข้าควบคุมกิจการและทรัพย์สินของสมาคมและมูลนิธิก็ เพราะสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ ฯ เพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสมาคมและมูลนิธินี้เนื่องจากร่วมกันกระทำการเป็นไปในทางนำความเสื่อมเสียมาสู่วัฒนธรรมของชาติ และร่วมกันกระทำการอันอาจเป็นภัยกับความมั่นคงของชาติ ฯลฯ พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้น เมื่อคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์มีวัตถุประสงค์ที่จะให้มูลนิธิและสมาคมได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ต่อไปจึงยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาคุ้มครองให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนใบอนุญาตสมาคมและมูลนิธิ, การควบคุมทรัพย์สิน, และการขอคุ้มครองชั่วคราว
เหตุที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 1 ขีดชื่อสมาคมซึ่งโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลออกจากทะเบียนสมาคมและจำเลยที่1กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายอำเภอได้เข้าควบคุมกิจการและทรัพย์สินของสมาคมและมูลนิธิก็เพราะสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติฯเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสมาคมและมูลนิธินี้เนื่องจากร่วมกันกระทำการเป็นไปในทางนำความเสื่อมเสียมาสู่วัฒนธรรมของชาติและร่วมกันกระทำการอันอาจเป็นภัยกับความมั่นคงของชาติฯลฯพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนดังนั้น เมื่อคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์มีวัตถุประสงค์ที่จะให้มูลนิธิและสมาคมได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ต่อไปจึงยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาคุ้มครองให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้มูลนิธิ: ถือเป็นการแสดงเจตนาให้ประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ต้องจดทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 525
ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งผู้มีจิตศรัทธาหลายรายได้บริจาคเงินซื้อเพื่อจะยกให้แก่มูลนิธิที่จะตั้งขึ้นในที่พิพาท จึงได้ใส่ชื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ปกครองศาลเจ้าให้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้ก่อน เมื่อจำเลยเอาที่พิพาทไปจำนองและขายให้แก่บุคคลอื่นก็มีผู้ช่วยกันออกเงินไถ่จำนองและซื้อกลับคืนมา แล้วใส่ชื่อจำเลยและบุคคลอื่น ๆ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมไว้ในโฉนด เพื่อป้องกันมิให้จำเลยนำไปจำนองหรือขายให้แก่ผู้อื่นอีก และได้ทำหนังสือกันไว้ว่ายินยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่มูลนิธิดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น การที่จำเลยและบุคคลอื่น ๆ เป็นเจ้าของที่พิพาทก็เป็นการถือกรรมสิทธิ์ไว้เพื่อมูลนิธิโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์ได้รับอำนาจเป็นมูลนิธิแล้ว ที่พิพาทดังกล่าวก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่ได้รับอำนาจเป็นมูลนิธิเป็นต้นไป กรณีจึงหาได้เป็นการให้ที่ตกอยู่ในบังคับจะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ไม่ เมื่อปรากฏว่ามูลนิธิโจทก์ได้แสดงเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าวแล้วจำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
of 5