พบผลลัพธ์ทั้งหมด 48 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ที่ล่าช้า ต้องระบุเหตุจำเป็นที่ไม่อาจยื่นได้ทันเวลา
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งแต่เพียงเหตุที่จำเลยได้ขาดนัด และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเท่านั้น ส่วนในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้า จำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งว่าจำเลยไม่อาจยื่นคำร้องภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันจะทำให้จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4745/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการดำเนินคดีแทนบริษัท: การมอบอำนาจต้องระบุชัดเจนถึงการยื่นคำร้องในชั้นศาล
ตามหนังสือมอบอำนาจไม่ปรากฏว่ากรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทผู้ร้องมอบอำนาจให้ ช.ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องหรือดำเนินคดีในชั้นศาลเพื่อขอรถยนต์ของกลางคืนช. จึงไม่มีอำนาจมายื่นคำร้องหรือดำเนินคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2246/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สัญชาติไทยของผู้ที่เกิดในต่างประเทศและใช้สัญชาติบิดา สิทธิในการยื่นคำร้องต่อศาล
ผู้ร้องซึ่งเป็นคนสัญชาติไทยถือหนังสือเดินทางของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดย มิได้อ้างว่าเป็นบุคคลสัญชาติไทย ก็มีสิทธิยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าเป็นคนมีสัญชาติไทยได้และเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรับพิจารณาและยกคำขอผู้ร้องก็ยื่นคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลได้ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 57 วรรคสอง การถอนสัญชาติไทยเพราะเหตุเป็นคนสัญชาติไทยที่เกิดในราชอาณาจักรไทยและไปอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและใช้สัญชาติจีนอันเป็นสัญชาติของบิดาตลอดมา เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2508 มาตรา 17 เมื่อยังไม่มีคำสั่งให้ถอนสัญชาติดังกล่าวผู้นั้นก็คงมีสัญชาติไทยอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบุริมสิทธิจำนองและการบังคับคดี การยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้เกินกำหนดไม่ตัดสิทธิ
คำร้องของผู้ร้องฉบับก่อนเป็นการร้องขอให้บังคับชำระหนี้จำนองโดยอาศัยอำนาจของเจ้าหนี้จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ส่วนคำร้องของผู้ร้องฉบับหลังเป็นการร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ซึ่งบัญญัติรับรองสิทธิของบุคคลภายนอกไว้ผู้ร้องยื่นคำร้องโดยอ้างเหตุตามบทกฎหมายคนละเหตุคนละมาตราเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกันจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือร้องซ้ำ
คำร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ไม่ใช่คำฟ้องตามมาตรา 1 (3) ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาล คงเสียแต่ค่าคำร้องเหมือนคำร้องธรรมดา และการร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดหรืออนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากเงินที่ขายทอดตลาดมิได้ขัดแย้งกัน ไม่ได้ทำให้คำร้องนั้นเสียไป ตามคำร้องหมายความว่าหากเพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ได้ จึงขอให้ได้รับชำระหนี้จำนองจากเงินที่ขายทอดตลาด
เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287โดยเท้าความถึงคำร้องขอให้บังคับชำระหนี้จำนองโดยอาศัยสิทธิของเจ้าหนี้จำนองตามมาตรา 289ฉบับก่อน ศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ จำเลย ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด และเจ้าพนักงานบังคับคดี บุคคลดังกล่าวมีโอกาสคัดค้านคำร้องของผู้ร้องแล้ว ซึ่งตามคำคัดค้านของโจทก์นั้นก็มิได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องตามสัญญาจำนองว่าเป็นเงินเท่าใด และผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนองนั้นหรือไม่ ดังนี้เมื่อศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์คำร้องของผู้ร้อง คำคัดค้านของโจทก์กับผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดการไต่สวนจึงเป็นการชอบแล้ว เพราะเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาคดีได้ตามควรแก่กรณีแห่งเรื่องเพื่อให้คดีดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 วรรคสอง เป็นแต่ให้อำนาจผู้รับจำนองที่จะยื่นคำร้องต่อศาลก่อนเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด แต่ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดดังกล่าวก็หาทำให้ผู้รับจำนองหมดสิทธิไปไม่ โดยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิของผู้รับจำนอง ซึ่งอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินพิพาทได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 ฉะนั้นเมื่อเอาทรัพย์พิพาทขายโดยปลอดจำนองตามหนังสือแจ้งความประสงค์ของผู้ร้อง และเมื่อขายทอดตลาดได้แล้ว ก็ต้องชำระหนี้จำนองให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองก่อน
คำร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ไม่ใช่คำฟ้องตามมาตรา 1 (3) ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาล คงเสียแต่ค่าคำร้องเหมือนคำร้องธรรมดา และการร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดหรืออนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากเงินที่ขายทอดตลาดมิได้ขัดแย้งกัน ไม่ได้ทำให้คำร้องนั้นเสียไป ตามคำร้องหมายความว่าหากเพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ได้ จึงขอให้ได้รับชำระหนี้จำนองจากเงินที่ขายทอดตลาด
เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287โดยเท้าความถึงคำร้องขอให้บังคับชำระหนี้จำนองโดยอาศัยสิทธิของเจ้าหนี้จำนองตามมาตรา 289ฉบับก่อน ศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ จำเลย ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด และเจ้าพนักงานบังคับคดี บุคคลดังกล่าวมีโอกาสคัดค้านคำร้องของผู้ร้องแล้ว ซึ่งตามคำคัดค้านของโจทก์นั้นก็มิได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องตามสัญญาจำนองว่าเป็นเงินเท่าใด และผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนองนั้นหรือไม่ ดังนี้เมื่อศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์คำร้องของผู้ร้อง คำคัดค้านของโจทก์กับผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดการไต่สวนจึงเป็นการชอบแล้ว เพราะเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาคดีได้ตามควรแก่กรณีแห่งเรื่องเพื่อให้คดีดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 วรรคสอง เป็นแต่ให้อำนาจผู้รับจำนองที่จะยื่นคำร้องต่อศาลก่อนเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด แต่ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดดังกล่าวก็หาทำให้ผู้รับจำนองหมดสิทธิไปไม่ โดยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิของผู้รับจำนอง ซึ่งอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินพิพาทได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 ฉะนั้นเมื่อเอาทรัพย์พิพาทขายโดยปลอดจำนองตามหนังสือแจ้งความประสงค์ของผู้ร้อง และเมื่อขายทอดตลาดได้แล้ว ก็ต้องชำระหนี้จำนองให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องเท็จเพื่อขอคืนหลักประกันการประกันตัว ละเมิดอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดย ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลย และเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันและรับหลักประกันคืนโดยมิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาล และศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำพิพากษา อ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำรอ ผู้ถูกกล่าวหาหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันอันเป็นเท็จ จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง
ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4581/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีจดทะเบียนสมรส: การระบุตำแหน่งนายทะเบียน และสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ปัญหาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 2 ในฐานะนายทะเบียนครอบครัว ต้องฟ้องนายทะเบียนระบุตำแหน่งโดยตรงนั้นเป็นเรื่องการบรรยายฟ้องระบุชื่อบุคคลและตำแหน่งมาพร้อมกันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ นายทะเบียนไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้โจทก์พระราชบัญญัติ จดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะยื่นคำร้อง ต่อศาลโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลไม่จำต้องปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยค่าธรรมเนียมตาม ตารางท้ายประมวลกฎหมายนั้นมิได้เป็นบทบังคับเด็ดขาด แต่เป็น การให้สิทธิแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษจึงไม่ตัดสิทธิของโจทก์ ที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อ โจทก์ทั้งสองโดยผิดกฎหมาย ให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้ จดทะเบียนสมรสกันซึ่งจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ แต่ไม่ปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยเป็นคดีมีข้อพิพาทตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2850/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการยื่นคำร้องจัดการสินสมรสแทนคู่สมรส ต้องมีมอบอำนาจชัดเจน หรือมีเหตุขัดข้องตามกฎหมาย
ผู้ร้องกับสามีจองซื้อบ้านและที่ดินไว้ ต่อมา อ.สามีทิ้งร้างไปผู้ร้องไม่อาจกู้เงินและจดทะเบียนจำนองบ้านและที่ดินที่จองไว้ จึงร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ อ. จัดการขอกู้เงินพร้อมกับจดทะเบียนจำนองบ้านและที่ดินไว้กับบริษัท ค.และอนุญาตให้อ. จัดการโอนสิทธิการจองบ้านและที่ดินดังกล่าวให้กับบุคคลภายนอกต่อไป ดังนี้ เป็นการยื่นคำร้องขอแทน อ.โดยที่อ. มิได้มอบอำนาจให้ผู้ร้องกระทำการแทน ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอดังกล่าวได้
คำว่า"อาจร้องขอต่อศาลให้สั่งอนุญาตแทนได้" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1478 นั้น หมายความถึงให้ฝ่ายที่ต้องการได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง แต่มีเหตุขัดข้องตามที่บัญญัติไว้มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องจัดการเกี่ยวกับสินสมรสแต่ฝ่ายเดียวแทนการให้ความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นได้ มิใช่ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องแทน อ.โดยอ.มิได้มอบอำนาจไม่
คำว่า"อาจร้องขอต่อศาลให้สั่งอนุญาตแทนได้" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1478 นั้น หมายความถึงให้ฝ่ายที่ต้องการได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง แต่มีเหตุขัดข้องตามที่บัญญัติไว้มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องจัดการเกี่ยวกับสินสมรสแต่ฝ่ายเดียวแทนการให้ความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นได้ มิใช่ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องแทน อ.โดยอ.มิได้มอบอำนาจไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกเฉยต่อการดำเนินคดีตามคำสั่งศาลทำให้ศาลมีอำนาจยกคำร้อง และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องใหม่
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของจำเลยที่อ้างว่า ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะจำเลยไม่เคยได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาดังกล่าว แต่จำเลยไม่นำส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องดังกล่าวให้โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามคำสั่งศาล ดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนด ศาลย่อมสั่งยกคำร้องได้
เมื่อศาลสั่งยกคำร้องดังกล่าวแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งกลับยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องฉบับแรกนั้นอีกอ้างว่าทนายของจำเลยทิ้งคดีไม่ดำเนินการตามที่ศาลสั่งและจำเลยอยู่ต่างจังหวัดดังนี้ไม่เป็นเหตุให้จำเลยยกเป็นข้ออ้างขอให้ศาลไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ศาลยกไปแล้วอีกได้ เพราะเป็นความผิดของฝ่ายจำเลยเองที่ไม่เอาใจใส่ในคดีของตนและจำเลยจะอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายมิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายด้วย
เมื่อศาลสั่งยกคำร้องดังกล่าวแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งกลับยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องฉบับแรกนั้นอีกอ้างว่าทนายของจำเลยทิ้งคดีไม่ดำเนินการตามที่ศาลสั่งและจำเลยอยู่ต่างจังหวัดดังนี้ไม่เป็นเหตุให้จำเลยยกเป็นข้ออ้างขอให้ศาลไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ศาลยกไปแล้วอีกได้ เพราะเป็นความผิดของฝ่ายจำเลยเองที่ไม่เอาใจใส่ในคดีของตนและจำเลยจะอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายมิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงทายาทรับเงินฌาปนกิจมีผลเมื่อยื่นคำร้อง แม้ประธานฯ ยังไม่อนุมัติ และทายาทไม่ต้องเป็นทายาทโดยธรรม
กรรมการปกครองได้จัดตั้งสำนักงานฌาปนกิจกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนันขึ้น โดยวางระเบียบการฌาปนกิจไว้ให้จ่ายเงินค่าอุปการะศพสมาชิกที่ถึงแก่กรรมแก่ทายาทผู้ซึ่งสมาชิกระบุไว้ ในใบสมัครหรือแจ้งการเปลี่ยนแปลงเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ครั้งหลังที่สุด ดังนี้ การขอเปลี่ยนแปลงทายาทรับเงินค่าอุปการะศพจะสมบูรณ์ตั้งแต่เมื่อใดต้องเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการ ฌาปนกิจดังกล่าว เมื่อระเบียบดังกล่าวระบุว่าความเป็นสมาชิกเริ่มแต่วันที่คณะกรรมการดำเนินงานได้มีมติรับเข้าเป็นสมาชิก และสมาชิกภาพย่อมสิ้นสุดลงเมื่อสมาชิกลาออกและได้รับอนุญาตจากประธานกรรมการดำเนินงานแล้ว หาได้ระบุว่าการขอเปลี่ยนแปลงทายาทรับเงินค่าอุปการะศพจะสมบูรณ์ต่อเมื่อคณะกรรมการดำเนินงานฌาปนกิจมีมติ หรือเมื่อประธานกรรมการดำเนินงานอนุมัติแล้วด้วยไม่ การขอเปลี่ยนแปลงทายาทรับเงินค่าอุปการะศพจึงมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่สมาชิกยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงทายาทต่อนายอำเภอ แม้ประธานดำเนินงานฌาปนกิจได้มีหนังสือแจ้งว่าการขอเปลี่ยนแปลงทายาทรับเงินค่าอุปการะศพจะสมบูรณ์ต่อเมื่อประธานกรรมการดำเนินงานฌาปนกิจอนุมัติแล้วแต่อำนาจในการออกและแก้ไขเปลี่ยนแปลงระเบียบฌาปนกิจเป็นของกรมการปกครอง หนังสือนี้จึงไม่มีผลบังคับ เมื่อสมาชิกได้ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงทายาทรับเงินค่าอุปการะศพ ให้บุคคลใดเป็นทายาทรับเงินค่าอุปการะศพไว้แล้ว แต่ประธานกรรมการดำเนินงานฌาปนกิจได้อนุมัติให้เปลี่ยนได้เมื่อหลังจากสมาชิกถึงแก่กรรม ก็ถือว่าการขอเปลี่ยนแปลงทายาทรับเงินค่าอุปการะศพสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่สมาชิกยื่นคำร้องแล้ว
เมื่อระเบียบการฌาปนกิจระบุว่า ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินค่าอุปการะศพได้แก่ทายาทซึ่งสมาชิกระบุไว้ในใบสมัคร หรือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งหลังที่สุด โดยระบุเพียงว่าทายาท มิได้ระบุว่าทายาทโดยธรรม ดังนั้น ทายาทซึ่งสมาชิกระบุไว้ในใบสมัครหรือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งหลังที่สุดย่อมมีสิทธิรับเงินค่าอุปการะศพ โดยหาจำเป็นต้องเป็นทายาทโดยธรรมของสมาชิกไม่
เมื่อระเบียบการฌาปนกิจระบุว่า ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินค่าอุปการะศพได้แก่ทายาทซึ่งสมาชิกระบุไว้ในใบสมัคร หรือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งหลังที่สุด โดยระบุเพียงว่าทายาท มิได้ระบุว่าทายาทโดยธรรม ดังนั้น ทายาทซึ่งสมาชิกระบุไว้ในใบสมัครหรือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งหลังที่สุดย่อมมีสิทธิรับเงินค่าอุปการะศพ โดยหาจำเป็นต้องเป็นทายาทโดยธรรมของสมาชิกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นอุทธรณ์คดีอาญา เกินกำหนด 15 วัน ต้องมีเหตุสุดวิสัยตามกฎหมาย
การยื่นคำขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์คดีอาญาภายหลังล่วงเลยกำหนด 15 วันแล้ว จะต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23