พบผลลัพธ์ทั้งหมด 343 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องความผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดการดัดแปลงหรือแนบคำสั่ง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามจำเลยใช้อาคารพิพาทที่ได้มีการดัดแปลงโดยมิได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 40 (2) ซึ่งมีโทษตามมาตรา 67 และ 70 เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทเพื่อพาณิชยกรรมและพักอาศัยที่ได้มีการดัดแปลงโดยมิได้รับอนุญาต ได้รับแจ้งคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆของอาคารหรือบริเวณอาคารที่ดัดแปลงแล้ว จำเลยได้ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นดังกล่าวโดยใช้อาคารที่ดัดแปลงตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงวันฟ้อง ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 40 (2) ประกอบมาตรา 67 และ 70 ดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำของจำเลย มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิด ทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158 (5) แห่ง ป.วิ.อ.แล้ว การที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยดัดแปลงอาคารอย่างไร หรือมิได้แนบคำสั่งห้ามของเจ้าพนักงานท้องถิ่นมาท้ายฟ้อง หาทำให้คำฟ้องของโจทก์กลายเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดการดัดแปลงอาคารและการแนบคำสั่งห้าม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้าจำเลยใช้อาคารพิพาทที่ได้มีการดัดแปลงโดยมิได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 40(2)ซึ่งมีโทษตามมาตรา 67 และ 70 เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทเพื่อพาณิชยกรรมและพักอาศัยที่ได้มีการดัดแปลงโดยมิได้รับอนุญาต ได้รับแจ้งคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารหรือบริเวณอาคารที่ดัดแปลงแล้ว จำเลยได้ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นดังกล่าวโดยใช้อาคารที่ดัดแปลงตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงวันฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 40(2)ประกอบมาตรา 67 และ 70 ดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำของจำเลย มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิด ทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158(5) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว การที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยดัดแปลงอาคารอย่างไรหรือมิได้แนบคำสั่งห้ามของเจ้าพนักงานท้องถิ่นมาท้ายฟ้องหาทำให้คำฟ้องของโจทก์กลายเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องปลอมพินัยกรรมต้องระบุรายละเอียดการปลอมเพื่อให้จำเลยต่อสู้คดีได้
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยได้ร่วมกันปลอมพินัยกรรมของเจ้ามรดก แล้วใช้พินัยกรรมปลอมของเจ้ามรดกที่ทำขึ้นโดยไม่ชอบไม่ถูกต้องตามกฎหมายไปทำการรับโอนมรดกที่ดินของเจ้ามรดก โดยมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ร่วมกันทำการปลอมพินัยกรรมของเจ้ามรดกด้วยวิธีการอย่างไร เป็นการปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่บางส่วน ตลอดจนไม่ได้ระบุวันเวลาที่ทำการปลอมอีกด้วย จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาและสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยในข้อหาปลอมพินัยกรรมของเจ้ามรดกจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2042/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รายละเอียดเวลาในฟ้องไม่เป็นสาระสำคัญ หากจำเลยไม่หลงต่อสู้
ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4), 158 (5), 192พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างปลายเดือนสิงหาคม 2539 ถึงกลางเดือนกันยายน 2539 โดยมิได้ระบุเวลาเกิดเหตุว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม แต่การเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทก็อยู่ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว และจำเลยนำสืบต่อสู้โดยมิได้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำความผิด เมื่อวันเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดเป็นเพียงรายละเอียดของฟ้อง มิใช่ข้อสาระสำคัญตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) และจำเลยมิได้หลงต่อสู้จึงมิใช่เหตุอันจะพึงยกฟ้องโจทก์
แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างปลายเดือนสิงหาคม 2539 ถึงกลางเดือนกันยายน 2539 โดยมิได้ระบุเวลาเกิดเหตุว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม แต่การเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทก็อยู่ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว และจำเลยนำสืบต่อสู้โดยมิได้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำความผิด เมื่อวันเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดเป็นเพียงรายละเอียดของฟ้อง มิใช่ข้อสาระสำคัญตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) และจำเลยมิได้หลงต่อสู้จึงมิใช่เหตุอันจะพึงยกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์หรือไม่พิจารณาจากคำให้การ หากจำเลยต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ ฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อบรรยายรายละเอียดได้
การที่จะถือว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือไม่นั้นจะต้องพิเคราะห์คำให้การประกอบด้วย มิใช่พิเคราะห์แต่คำฟ้องเพียงอย่างเดียว เพราะแม้คำฟ้องจะเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้อง ทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ก็ตาม แต่ถ้าจำเลยให้การต่อสู้ในเรื่องกรรมสิทธิ์แล้ว ก็ต้องกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนที่จอดรถในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางเข้าในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 15 ตารางวา ทั้งได้แสดงภาพถ่ายโรงเรือนที่จอดรถของจำเลยมาด้วย ซึ่งทำให้จำเลยสามารถเข้าใจได้แล้ว ส่วนในเรื่องที่ดินที่เสียหายอยู่ในส่วนไหน กว้างยาวเท่าใดและวัน เดือน ปีที่จำเลยทำการปลูกสร้างโรงเรือนที่จอดรถนั้น เป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ตลอดจนปรากฎจากคำให้การว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้องด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6366/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำฟ้องต้องชัดเจนและระบุรายละเอียด หากไม่ชัดเจนศาลไม่รับพิจารณา
คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์กล่าวว่า หลังจากจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยนำที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตร และเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินในเวลาต่อมาโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมอันเป็นการออกเอกสารสิทธิทับที่ดินของโจทก์โดยไม่ชอบ โจทก์จึงขอแก้ไขคำฟ้องโดยการเพิ่มเติมข้อเท็จจริงดังกล่าวลงในคำฟ้องข้อ 1 และข้อ 2 กับขอเพิ่มเติมคำขอท้ายฟ้องว่าให้จำเลยจัดการแก้ไขรายการจดทะเบียนในโฉนดที่ดินพิพาทให้ปลอดจากการจำนอง แล้วจดทะเบียนโอนให้โจทก์ โดยโจทก์มิได้ระบุรายละเอียดว่าโจทก์จะขอเพิ่มเติมข้อเท็จจริงลงในคำฟ้องข้อ 1 หรือข้อ2 ตรงไหน เป็นคำร้องที่ไม่แจ้งชัด ไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6065/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การไม่ชัดเจนในคดีแพ่ง จำเลยต้องแสดงรายละเอียดข้อต่อสู้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายหนังสือชนิดต่าง ๆให้แก่ผู้พิมพ์หนังสือที่ไม่สามารถจัดส่งหนังสือไปจำหน่ายเองได้ และโจทก์เป็นผู้แทนจัดจำหน่ายหนังสือให้แก่จำเลยโดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเบิกเงินค่าหนังสือที่ขอให้โจทก์จัดจำหน่ายไปก่อนล่วงหน้าบางส่วนได้ แล้วจึงนำมาหักกลบลบกับจำนวนเงินที่ได้จากการขายหนังสือของจำเลย โจทก์คิดบัญชีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2530แล้วยังมีเงินที่จำเลยเบิกจากโจทก์ไปล่วงหน้าซึ่งต้องคืนโจทก์อยู่จำนวนหนึ่งคำให้การของจำเลยที่ให้การปฎิเสธในเรื่องจำนวนเงินที่ต้องชำระคืนแก่โจทก์ว่าไม่ถูกต้องนั้น จำเลยให้การลอย ๆ เพียงว่า ไม่ถูกต้องเพราะโจทก์รวมเอาหนังสือบางเล่มที่เกิดการชำรุดฉีกขาดหรือเปียกน้ำในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์เข้าด้วยและถือว่าเป็นหนังสือที่คืนแก่จำเลยแล้วโดยมิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงให้ชัดแจ้งว่าหนังสือรายการใดที่ชำรุดฉีกขาดหรือเปียกน้ำและมีเป็นจำนวนเท่าใดคิดเป็นเงินเท่าใด ที่จะต้องหักออกจากรายการในช่องมูลค่าหนังสือที่รับคืนไปตามเอกสารท้ายฟ้อง ทั้งที่โจทก์ได้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับรายการจัดจำหน่ายหนังสือให้แก่จำเลยในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 2527 ถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 2530มาอย่างละเอียดในเอกสารท้ายฟ้องแล้ว ซึ่งจำเลยสามารถให้การโต้แย้งรายการเหล่านั้นแต่ละรายการว่าไม่ถูกต้องอย่างไรได้โดยง่าย แต่จำเลยกลับให้การเพียงว่ามีรายการหนังสือเปียกน้ำที่ต้องหักออก คำให้การจำเลยในเรื่องหนังสือที่เปียกน้ำจึงไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้านำสืบตามข้อต่อสู้นั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5779/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องละเมิดต้องระบุรายละเอียดการกระทำผิดและสภาพแห่งข้อหาชัดเจน หากไม่ชัดเจนถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายเพียงว่า จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์น้อยกว่าค่าทดแทนที่โจทก์ควรได้รับตามหลักเกณฑ์แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงถือได้ว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่ทรัพย์สินโดยละเมิดเท่านั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างไรและกระทำผิดต่อกฎหมายประการใด จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงและการเบียดบังทรัพย์ในความผิดยักยอก: การระบุรายละเอียดวันเวลาที่กระทำผิด
ตามคำฟ้องแยกข้อหาฉ้อโกงไว้ข้อ ก. ข. และ ง. และข้อหายักยอกไว้ ข้อ ค. เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องข้อ ก. ข. และ ง.แล้ว มีความหมายพอเข้าใจได้ว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้งโดยหลอกลวงโจทก์ร่วมในฟ้องข้อ ก.ว่าโจทก์ร่วมต้องเสียภาษีต่อกรมสรรพากรเป็นจำนวน 147,053 บาท และในฟ้องข้อ ข.และ ง. ว่า โจทก์ร่วมต้องเสียภาษีต่อกรมสรรพากรเป็นจำนวน 60,813.58 บาทและ 71,999.20 บาท ซึ่งเป็นความเท็จ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องตอนต่อมาในข้อ ก.ว่า จำเลยกลับไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีต่อกรมสรรพากรเพียง 122,543.65 บาทและใน ข. และ ง. ว่า จำเลยกลับทำแบบแสดงรายการภาษีโดยไม่ต้องชำระภาษีต่อกรมสรรพากรนั้นเท่ากับโจทก์ได้บรรยายว่า ความจริงแล้วโจทก์ต้องเสียภาษีในฟ้องข้อ ก.เพียงใด หรือไม่ต้องเสียภาษีในฟ้องข้อ ข. และ ง. เลยจนโจทก์ร่วมหลงเชื่อได้จ่ายเงินให้จำเลยไปตามที่จำเลยขอเบิก แล้วจำเลยได้เอาเงินส่วนที่เบิกเกินไปตามข้อ ก. และส่วนที่ไม่ได้ชำระภาษีเลยตามข้อ ข. และ ง.ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดในข้อหาฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา341 แล้ว
การบรรยายคำฟ้องในการกระทำผิดข้อหายักยอกนั้น ต้องระบุถึงวันเวลาที่จำเลยเบียดบังเอาทรัพย์ซึ่งเป็นวันกระทำผิดมาในฟ้องด้วย ส่วนวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์ไม่ใช่วันกระทำผิดเพราะผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นไว้แต่ไม่ได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นย่อมไม่มีความผิดข้อหายักยอกตามคำฟ้องข้อ ค. ที่กล่าวแต่เพียงวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์ของโจทก์แต่ไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนวันเวลาใดจะถือเอาวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์เป็นวันที่จำเลยกระทำผิดหาได้ไม่ เพราะไม่มีข้อความตอนใดที่จะให้เข้าใจได้เช่นนั้น จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.อ.มาตรา 158 (5)
การบรรยายคำฟ้องในการกระทำผิดข้อหายักยอกนั้น ต้องระบุถึงวันเวลาที่จำเลยเบียดบังเอาทรัพย์ซึ่งเป็นวันกระทำผิดมาในฟ้องด้วย ส่วนวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์ไม่ใช่วันกระทำผิดเพราะผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นไว้แต่ไม่ได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นย่อมไม่มีความผิดข้อหายักยอกตามคำฟ้องข้อ ค. ที่กล่าวแต่เพียงวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์ของโจทก์แต่ไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนวันเวลาใดจะถือเอาวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์เป็นวันที่จำเลยกระทำผิดหาได้ไม่ เพราะไม่มีข้อความตอนใดที่จะให้เข้าใจได้เช่นนั้น จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.อ.มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4106/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้บรรยายรายละเอียดความเสียหายเฉพาะเจาะจง โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้
คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายแล้วว่าจำเลยที่1ได้ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่2โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายรวมหลายรายการคิดเป็นเงิน85,000บาทการที่จำเลยขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์ในส่วนใดรถยนต์โจทก์จะได้รับความเสียหายตรงส่วนไหนบริเวณใดและได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาหาใช่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาซึ่งจะต้องบรรยายมาในคำฟ้องแต่อย่างใดไม่ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม