พบผลลัพธ์ทั้งหมด 51 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2688/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับล่วงหน้าในสัญญาซื้อขาย การลดเบี้ยปรับ และการริบเงินค้ำประกัน
โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์หลายรายการ จำเลยผิดสัญญาส่งมอบแม่แรงมีคุณสมบัติไม่ตรงตามสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญารายการนี้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ผู้ออกหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาได้ส่งมอบเงินตามหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์แล้ว แม้สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ ข้อ 4 จะกำหนดให้ผู้ซื้อมีสิทธิริบเงินตามหนังสือค้ำประกันได้ในกรณีผู้ขายละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญา ข้อกำหนดแห่งสัญญาข้อนี้ก็เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้เป็นการล่วงหน้า หากกำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลก็ชอบที่จะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาส่งมอบครุภัณฑ์ไม่ถูกต้องเฉพาะแม่แรงรายการเดียว และโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกค่าปรับในกรณีส่งมอบของล่าช้าตามสัญญาข้อ 8 และข้อ 9 จากจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างใดจากการผิดสัญญาซื้อขายรายการนี้เป็นพิเศษ จึงไม่ชอบที่จะริบเงินตามหนังสือค้ำประกันสัญญาไว้ทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันไม่ใช่ “มัดจำ” โจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินหรือเรียกร้องตามสัญญาค้ำประกัน
หนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นเพียงสัญญาซึ่งจำเลยที่ 2ผู้ค้ำประกันผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 เท่านั้นไม่ใช่สิ่งที่คู่สัญญามอบให้ไว้แก่กันเมื่อทำสัญญา จึงมิใช่มัดจำตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 377 โจทก์จะริบเงินจำนวนนี้ในฐานเป็นมัดจำไม่ได้ และจะเรียกให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันก็ไม่ได้ เพราะตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ตกลงยอมชำระเงินแทนจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์มีสิทธิริบเงินที่วางไว้เป็นประกันเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินประกันซองประกวดราคาที่ไม่ใช่ 'มัดจำ' และผลต่อสัญญาค้ำประกัน
การที่ไม่มีสิ่งใดให้ไว้เป็นมัดจำ เมื่อไม่มีการปฏิบัติตามสัญญาก็ย่อมจะไม่มีมัดจำให้ริบ หนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นเพียงสัญญาซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 เท่านั้น จึงมิใช่มัดจำตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 377 โจทก์จะริบเงินจำนวนนี้ในฐานะเป็นมัดจำไม่ได้ และจะเรียกให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันก็ไม่ได้ เพราะตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ตกลงยอมชำระเงินแทนจำเลยที่ 1 ต่อเมื่อโจทก์มีสิทธิริบเงินที่วางไว้เป็นประกัน แต่คดีนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามสัญญาค้ำประกันเพราะมิใช่มัดจำเสียแล้ว ดังนั้น จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินวางซื้อทรัพย์จากการผิดสัญญาซื้อขายและการคืนเงินเมื่อชำระหนี้ครบถ้วน
ตามประกาศขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดเงื่อนไขในการขายว่า เมื่อตกลงรับซื้อแล้วผู้ซื้อจะต้องชำระเงินทันทีแต่ถ้าทรัพย์สินนั้นเป็นที่ดินหรือทรัพย์อย่างอื่นซึ่งมีราคาตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไปเจ้าพนักงานบังคับคดีอาจให้ผู้ซื้อวางเงินก่อนไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของราคาซื้อ และทำสัญญาใช้เงินที่ค้างชำระกับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นถ้าหากมีภายในเวลาไม่เกิน 15 วันก็ได้ และตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินมัดจำ แสดงว่าเงินจำนวน 50,000 บาทที่โจทก์วางไว้ในวันขายสำหรับการซื้อทรัพย์ครั้งก่อนเป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาค่าซื้อ ไม่ใช่มัดจำ เมื่อโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ ศาลจึงสั่งริบไม่ได้ ในการขายทอดตลาดครั้งหลัง โจทก์เป็นผู้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น และเป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้ในราคา 195,000 บาท เท่าเดิมทั้งโจทก์ได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว กรณีจึงไม่มีความเสียหายใด ๆต้องคืนเงินที่โจทก์วางไว้ในการซื้อทรัพย์ครั้งก่อนทั้งหมดให้โจทก์ การที่ต้องมีการขายทอดตลาดครั้งหลังเพราะโจทก์ไม่ชำระราคาภายในเวลาที่กำหนด โจทก์จึงเป็นฝ่ายที่ทำให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้ดำเนินไปโดยไม่จำเป็น จึงต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่เตรียมไว้เพื่อซื้อยาเสพติด แม้จะไม่ได้ใช้ซื้อทั้งหมด ก็ถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดได้
จำเลยที่ 3 เตรียมเงินจำนวน 850,000 บาท เพื่อนำมาซื้อยาเสพติดตามที่จำเลยที่ 1 ติดต่อกับผู้ขาย แต่จำเลยที่ 1 สามารถนำยาเสพติดของกลางมามอบให้จำเลยที่ 2 ได้ในปริมาณราคาเพียง 600,000 บาทเท่านั้น เงินที่จำเลยที่ 3 เตรียมมาดังกล่าวจึงยังคงเหลืออีก 250,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับเงินที่ได้เตรียมมาซื้อยาเสพติดในตอนแรกนั่นเอง จึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ใช้ในการซื้อยาเสพติด แม้จะไม่ได้ใช้ซื้อทั้งหมด ก็ถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดได้
จำเลยที่ 3 เตรียมเงินจำนวน 850,000 บาท เพื่อนำมาซื้อยาเสพติดตามที่จำเลยที่ 1 ติดต่อกับผู้ขาย แต่จำเลยที่ 1 สามารถนำยาเสพติดของกลางมามอบให้จำเลยที่ 2 ได้ในปริมาณราคาเพียง600,000 บาทเท่านั้น เงินที่จำเลยที่ 3 เตรียมมาดังกล่าวจึงยังคงเหลืออีก 250,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับเงินที่ได้เตรียมมาซื้อยาเสพติดในตอนแรกนั่นเอง จึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1624/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ได้จากการกระทำผิด: เงินได้จากการขนเฮโรอีนเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด จึงต้องริบ
เงินของกลางที่จำเลยกับพวกได้มาจากการรับจ้างขนเฮโรอีนเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิด จึงควรริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4190/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ได้จากการกระทำผิดยาเสพติด: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ริบเงินจากจำเลยที่รับสารภาพ โดยอาศัยคำรับสารภาพเป็นหลัก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และยึดได้ธนบัตรจากจำเลยที่ 1 จากจำเลยที่ 3 และจากจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นธนบัตรที่จำเลยรับมาเพื่อใช้ในการหาซื้อกัญชา และใช้เป็นค่าขนย้ายกัญชาเป็นของกลางเมื่อจำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงต้องฟังว่าธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3 ที่ 4 มิใช่เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด หรือได้มาจากการกระทำผิด นั้น เป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากคำรับสารภาพของจำเลย ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การปฏิเสธเป็นคดีใหม่ เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 และมีผลทำให้คำขอของโจทก์ในคดีนี้ที่ให้ริบธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพไป
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การปฏิเสธเป็นคดีใหม่ เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 และมีผลทำให้คำขอของโจทก์ในคดีนี้ที่ให้ริบธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4190/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ได้จากการกระทำผิดยาเสพติด: ศาลฎีกาชี้ว่าเงินที่ใช้ซื้อยาเสพติดหรือค่าขนส่งเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดและต้องริบ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และยึดได้ธนบัตรจากจำเลยที่ 1 จากจำเลยที่ 3 และจากจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นธนบัตรที่จำเลยรับมาเพื่อใช้ในการหาซื้อกัญชา และใช้เป็นค่าขนย้ายกัญชาเป็นของกลางเมื่อจำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงต้องฟังว่าธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3ที่ 4 มิใช่เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด หรือได้มาจากการกระทำผิด นั้น เป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากคำรับสารภาพของจำเลย ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การปฏิเสธเป็นคดีใหม่ เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 และมีผลทำให้คำขอของโจทก์ในคดีนี้ที่ให้ริบธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพไป
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การปฏิเสธเป็นคดีใหม่ เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 และมีผลทำให้คำขอของโจทก์ในคดีนี้ที่ให้ริบธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกำหนดชำระเงินในสัญญาจะซื้อขาย และผลของการผิดนัดชำระเงินตามสัญญา
สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยข้อ 2 กำหนดว่า โจทก์ผู้จะซื้อตกลงจะชำระเงินค่าซื้อที่ดินโดยแบ่งเป็น 3 งวด งวดที่ 3 ชำระในวันที่ 10 กรกฎาคม 2522 และข้อ 5 กำหนดว่า" ผู้จะซื้อให้สัญญาว่า ถ้าผู้จะซื้อผิดนัดการชำระเงินตามที่ระบุไว้ในข้อ 2 ผู้จะซื้อยินดีให้ผู้จะขายถือว่าผู้จะซื้อผิดสัญญา และยินดีให้ผู้จะขายริบเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมด โดยมิต้องบอกกล่าวใด ๆ ทั้งสิ้น ให้ถือว่าสัญญาฉบับนี้สะดุดหยุดลงด้วย" การที่จำเลยยินยอมให้โจทก์แก้วันที่ในเช็คซึ่งชำระเงินงวดที่ 3 จากวันที่ 10 กรกฎาคม 2522 เป็นวันที่10 กันยายน 2522 เป็นการตกลงเลื่อนกำหนดการชำระเงินออกไปโดยกำหนดวันชำระเงินใหม่ไว้แน่นอนเช่นเดิมไม่มีพฤติการณ์แสดงว่าคู่กรณีไม่ถือเคร่งครัดตามกำหนดการชำระเงิน ความตกลงเช่นนี้แปลได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงกันเปลี่ยนกำหนดชำระเงินงวดที่ 3 ในข้อ 2 แห่งสัญญาเสียใหม่เท่านั้นหากระทบกระทั่งถึงสัญญาข้อ 5 ไม่ ดังนั้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีของโจทก์ไม่พอจ่าย เป็นเหตุให้จำเลยไม่ได้รับชำระเงินงวดที่ 3 ตามกำหนดใหม่ จึงถือว่าโจทก์ผิดนัดชำระเงินตามที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 2 มีผลทำให้จำเลยมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วและสัญญาเป็นอันเลิกกันตามสัญญาข้อ 5 โดยหาต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาอีกไม่ และจำเลยไม่ต้องบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน