พบผลลัพธ์ทั้งหมด 120 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1589/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้ผู้เยาว์ใช้รถจักรยานยนต์โดยประมาทเลินเล่อถือเป็นความรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด
ผู้ร้องเป็นมารดาจำเลยผู้เยาว์ ผู้ร้องเก็บกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ที่บ้านโดยบุคคลในบ้านทุกคนสามารถนำกุญแจไปใช้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางได้ จำเลยสามารถหยิบกุญแจนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวบุคคลใด ในวันเกิดเหตุจำเลยได้นำกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้โดยไม่ได้บอกกล่าวผู้ร้องและผู้ร้องไม่ทราบว่าจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดนั้น แสดงว่าผู้ร้องยินยอมอนุญาตให้จำเลยหยิบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าวไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยต้องการใช้ โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในอำนาจปกครองของตนจะนำรถไปใช้ในกิจการใดเมื่อจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขับขี่แข่งขันกันในถนนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร ย่อมถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรถปล่อยเช่าโดยไม่ดูแลการใช้งาน ย่อมถือว่ารู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิด
หลังจากจำเลยเช่ารถจากผู้ร้องโดยอ้างว่าเพื่อ บรรทุกพืชไร่ พืชสวนแล้ว ผู้ร้องก็ไม่ได้สนใจว่าจำเลย จะนำรถของกลางไปบรรทุกสิ่งของใด หรือจะบรรทุกน้ำหนักเกิน อย่างไรก็ได้ ซึ่งผู้ร้องไม่เคยห้ามปรามหรือทักท้วงมิให้จำเลย นำรถไปบรรทุกน้ำหนักเกิน ทั้งในสัญญาเช่ารถที่ผู้ร้องและจำเลยทำต่อกันก็มิได้ระบุห้ามไว้ด้วย ตามพฤติการณ์จึงส่อแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องไม่ได้ใส่ใจดูแลรถของตนเท่าที่ควร แต่ปล่อยให้จำเลยนำรถไปใช้ได้ตามอำเภอใจแม้เป็นความผิด ผู้ร้องก็ไม่ห้ามปรามหรือหาทางเลิกสัญญาเช่านั้นเสีย ผู้ร้องพอใจเพียงขอให้ตนได้รับเงินค่าเช่าเท่านั้นเอง กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2957/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง การกระทำโดยรู้เห็นเป็นใจถือเป็นความผิดร่วม การอยู่ในเหตุการณ์โดยไม่ห้ามปรามไม่ถือเป็นความผิดร่วม
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงผู้เดียวที่ประสบเหตุการณ์รายนี้เป็นพยาน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุเพียง13 ปีเศษ และกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ทั้งไม่ปรากฏเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน คำเบิกความของผู้เสียหายมีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเชื่อมโยง กันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้อยคำไม่มีข้อพิรุธให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะนึกคิดเสริมแต่งเรื่องราวขึ้นมาปรักปรำผู้ใดให้ต้องรับโทษ ประกอบกับการที่ผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เสียหายต้องอับอายเสื่อมเสียต่อเกียรติยศชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล กรณีไม่มีเหตุผลที่ผู้เสียหายจะต้องกลั่นแกล้งกล่าวหาผู้ใดหากไม่เป็นความจริง อีกทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายก็ตรงไปตรงมาตามความจริงที่ตนประสบจึงมีน้ำหนักรับฟัง นอกจากนี้โจทก์ยังมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสี่เป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นจับกุมพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสี่ว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพจึงย่อมสนับสนุนถ้อยคำของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้นและรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ประกอบมาตรา 83 ในระหว่างมีการกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยที่ 3อยู่รู้เห็นเหตุการณ์เวลาที่จำเลยที่ 2 กับ ด.และป. ชวนกันจับขา ปิดตา และถอดกางเกงของผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 3 พูดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายร้องพฤติกรรมของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3มีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วย แม้ต่อมาจำเลยที่ 1และ ป. จะเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามลำพังแต่ละคนก็ตาม แต่สภาพของผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง จำเลยที่ 4 เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันโทรมเด็กหญิงเท่านั้นโดยจำเลยที่ 4 นั่งดมกาวอยู่บนรถสามล้อเครื่อง ภายในห้องเกิดเหตุ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ได้กระทำการใดที่แสดงว่ามีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยการที่จำเลยที่ 4 ไม่ได้พูดห้ามปรามผู้กระทำ ความผิดรายนี้ ซึ่งมีแต่พวกวัยรุ่นเพื่อของจำเลยที่ 4 รวม 5 คน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองได้ พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6487/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการขอคืนรถยนต์เช่าซื้อ: การใช้สิทธิโดยสุจริตของผู้ให้เช่าซื้อและผลกระทบต่อการรู้เห็นเป็นใจ
ผู้ร้องเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ การให้เช่าซื้อเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งในหลายข้อของผู้ร้อง ดังนั้น การที่ผู้ร้องให้เช่าซื้อรถยนต์คันของกลางจึงเป็นการประกอบธุรกิจตามวัตถุประสงค์ของผู้ร้อง หาใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมุ่งประสงค์แต่เพียงผลกำไรจากการขายสินค้าและราคาเช่าซื้อเป็นสำคัญไม่ ที่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในชั้นสอบสวนก็ได้ความว่าเมื่อ พ. ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 4 งวดติดต่อกัน ผู้ร้องได้ให้พนักงานติดตามจึงทราบว่ารถยนต์คันของกลางถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้ที่สถานีตำรวจ ทั้งปรากฏว่าขณะนั้นพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องเป็นคดีแล้ว ที่ผู้ร้องมิได้ร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในชั้นสอบสวนจึงมิใช่เป็นข้อพิรุธแต่ประการใด แม้สัญญาเช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอดไปจนกว่าจะครบและรับผิดชอบบรรดาค่าเสียหายทั้งปวงในการใช้รถยนต์ก็ตาม เมื่อปรากฏว่า พ. ยังจะต้องชำระค่าเช่าซื้ออีกหลายแสนบาท การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางที่แท้จริงยื่นคำร้องขอคืนในคดีนี้ จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยแท้ หาใช่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นหรือพ. ผู้เช่าซื้อไม่ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6187/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการขอคืนของกลางระหว่างพิจารณาคดี และการพิสูจน์เจ้าของกรรมสิทธิ์เพื่อหักล้างการรู้เห็นเป็นใจ
ใน คดีอาญา ที่ โจทก์ มี คำขอ ให้ริบ ของกลาง นั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 เพียงแต่ บัญญัติ ว่า ใน กรณี ที่ ศาล มี คำสั่ง ให้ริบ ทรัพย์สิน ตาม มาตรา 33 หรือ 34 แล้ว ก็ ให้ เจ้าของ แท้จริง ยื่น คำเสนอ ขอ คืน ต่อ ศาล ภายใน หนึ่ง ปี นับแต่ วัน คำพิพากษาถึงที่สุด ได้ เท่านั้น แต่ หา ตัด สิทธิ เจ้าของ ที่ แท้จริง จะ ขอยื่น คำเสนอ ก่อน เวลา ดังกล่าว ไม่ ฉะนั้น เจ้าของ ที่ แท้จริง จึง มีสิทธิ ยื่น คำร้องขอ คืน ของกลาง ระหว่าง พิจารณา คดี ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5958/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรู้เห็นเป็นใจในการเล่นการพนันของผู้แทน: ผู้ร้องต้องรับผิดชอบการกระทำของจำเลย
จำเลยเป็นลูกจ้างของผู้ร้องโดยเป็นผู้จัดการดูแลเก็บผลประโยชน์สามารถกระทำการแทนผู้ร้องได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้แทนของผู้ร้องจัดให้มีการเล่นบิลเลียดพนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนี้ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการเล่นการพนันดังกล่าว ผู้ร้องจะอ้างว่าจำเลยได้กระทำนอกเหนือขอบอำนาจที่ผู้ร้องได้มอบหมายให้ไม่ได้ และคดีนี้จำเลยได้ให้การรับสารภาพว่าจำเลยได้จัดให้มีการเล่นบิลเลียดพนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง และปรากฏในบันทึกการจับกุมว่า ชั้นจับกุมได้แจ้งข้อหาว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นบิลเลียด(สนุกเกอร์) เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยไม่ได้รับอนุญาตของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ดังนี้ฟังได้ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5958/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้จัดการกระทำความผิดแทนเจ้าของ ย่อมถือว่าเจ้าของรู้เห็นเป็นใจ
จำเลยเป็นลูกจ้างของผู้ร้องโดยเป็นผู้จัดการดูแลเก็บผลประโยชน์ สามารถกระทำการแทนผู้ร้องได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้แทนของผู้ร้องจัดให้มีการเล่นบิลเลียดพนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนี้ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการเล่นการพนันดังกล่าว ผู้ร้องจะอ้างว่าจำเลยได้กระทำนอกเหนือขอบอำนาจที่ผู้ร้องได้มอบหมายให้ไม่ได้ และคดีนี้จำเลยได้ให้การรับสารภาพว่าจำเลยได้จัดให้มีการเล่นบิลเลียดพนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง และปรากฏในบันทึกการจับกุมว่า ชั้นจับกุมได้แจ้งข้อหาว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นบิลเลียด (สนุกเกอร์)เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยไม่ได้รับอนุญาตของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดดังนี้ฟังได้ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2540/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิขอคืนของกลางระหว่างพิจารณาคดี และการพิสูจน์เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ไม่รู้เห็นการกระทำผิด
ในคดีอาญาที่โจทก์มีคำขอให้ริบของกลางนั้นประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 เพียงแต่บัญญัติ ว่าในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ 34 แล้วก็ให้เจ้าของแท้จริงยื่นคำเสนอขอคืนต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดได้เท่านั้น แต่หาตัดสิทธิเจ้าของที่แท้จริงจะขอยื่นคำเสนอก่อนเวลาดังกล่าวไม่ฉะนั้น เจ้าของที่แท้จริงจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางระหว่างพิจารณาคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7175/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ และสิทธิในการขอคืนรถยนต์ที่ถูกริบ
จำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่4ซึ่งจะต้องชำระภายในวันที่9กรกฎาคม2536เป็นต้นมาเพิ่งชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระหนี้ทั้งหมดในวันที่18มกราคม2537ก่อนที่จำเลยที่1จะถูกจับมาดำเนินคดีในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้เพียง1วันรายการชำระค่าเช่าซื้องวดที่4ถึงที่8จึงไม่ถูกต้องเพราะเป็นการลงรายการชำระค่าเช่าซื้อย้อนหลังเพื่อเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่1ไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันหลายงวดอันเป็นการส่อถึงความไม่สุจริตในการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลางเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่1ว่าหลังจากได้รับรถยนต์กระบะของกลางคืนแล้วผู้ร้องจะให้จำเลยที่1เช่าซื้อต่อไปรวมตลอดถึงข้อความตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อข้อ9ว่าในกรณีที่ผู้เช่าซื้อต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อแต่ไม่สามารถส่งมอบคืนให้ได้ผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ราคาทรัพย์สินเท่าราคาค่าเช่าซื้อพร้อมกับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าเสียหายต่างๆให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้นผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาไม่ติดตามยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนทั้งๆที่จำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันมาหลายงวดจนกระทั่งจำเลยที่1นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดและถูกริบในคดีนี้ผู้ร้องจึงมาขอรถยนต์ดังกล่าวคืนอันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1เข้าลักษณะเป็นผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่1ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2135/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยักยอกเงินจากบัญชีผู้อื่นโดยทุจริต แม้เงินเข้าผิดพลาด แต่จำเลยรู้และเบิกจ่ายเอง
เจ้าหน้าที่ของธนาคารผู้เสียหายได้นำเงินฝากจำนวน60,000บาทของลูกค้ารายอื่นเข้าบัญชีของจำเลยโดย ผิดพลาด ปรากฏว่าจำเลยประกอบกิจการตัดเย็บเสื้อผ้าซึ่งเป็นกิจการเล็กๆมีเงินทุนหมุนเวียนเข้าออกบัญชีจำนวนเล็กน้อยสามารถตรวจสอบและรู้ถึงการนำเงินเข้าออกบัญชีได้โดยง่ายจึงฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่ามีการนำเงินของผู้อื่นเข้าบัญชีของจำเลยโดยผิดพลาดการที่จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินดังกล่าวออกไปจากบัญชีของจำเลยเป็นการเบียดบังเอาเงินนั้นไป โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา352วรรคสอง