พบผลลัพธ์ทั้งหมด 146 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3562/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานอนหลับ ผู้ร่วมกระทำผิดมีส่วนร่วมในการกระทำทั้งหมด
จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ยานอนหลับผสมลงในเครื่องดื่มเบียร์ให้ผู้เสียหายดื่ม จนไม่รู้สึกตัวหลับไป แล้วปลดเอาเครื่องประดับของผู้เสียหายไป ดังนั้นจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือเอง
จำเลยได้ร่วมกับพวกมาหาเรื่องกับกลุ่มผู้ตาย โดยจำเลย มีอาวุธปืนติดตัวมาด้วย ตามพฤติการณ์ย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาจจะ มีการใช้อาวุธปืนยิงคนในกลุ่มผู้ตายถึงแก่ความตายได้ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้แน่ชัดเพียงว่ามีคนในกลุ่มจำเลยซึ่งไม่แน่ว่า จะเป็นจำเลยหรือไม่ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายและ ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จำเลยก็ต้องรับผิดฐานเป็น ตัวการด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3243/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การร่วมกระทำผิดประกอบพยานหลักฐานอื่น ใช้สนับสนุนการรับฟังได้
คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ระบุว่า จำเลยที่ 1มีส่วนร่วมในการกระทำผิด แม้จะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ซึ่งตามลำพังจะมีน้ำหนักน้อย แต่เมื่อฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นที่โจทก์นำมาสืบแล้วย่อมรับฟังเพื่อสนับสนุนพยานหลักฐานอื่นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5646/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีไม้หวงห้าม การร่วมกระทำผิด การวางโทษ และการลดโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดได้ร่วมกันทำไม้พยุงอันเป็นไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสิบเอ็ดกับพวกได้รับไว้โดยประการใด ซ่อนเร้น จำหน่ายหรือพาเอาไปเสียให้พ้นซึ่งไม้หวงห้ามของกลางดังกล่าว โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่ได้มาโดยการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 เป็นคำฟ้องที่บรรยายครบองค์ประกอบความผิดแล้วหาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองอันจะทำให้เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการในความผิดฐานใด และทางพิจารณาปรากฎว่าจำเลยได้กระทำผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดนั้น ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ หาจำต้องบรรยายฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนไม่และบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ก็มิใช่บทมาตราที่บัญญัติว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด จึงหาจำต้องระบุอ้างมาในคำฟ้องไม่ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดคนร่วมกันมีไม้พยุงเกินกว่า 4 ลูกบาศก์เมตร โดยไม้ดังกล่าวยังมิได้แปรรูปอันเป็นข้อหาฐานความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484มาตรา 69 วรรคสอง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ในทางพิจารณาซึ่งเป็นความผิดอันรวมอยู่ในความผิดที่โจทก์ขอให้ลงโทษ แต่มีโทษเบากว่า ย่อมเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ยังคงวางโทษเท่ากับโทษที่ศาลชั้นต้นวางมาในฐานเป็นตัวการในความผิดทั้งสองกระทง โดยมิได้กำหนดโทษให้น้อยลงในฐานเป็นผู้สนับสนุน จึงเป็นการวางโทษที่หนักเกินไปศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมและเหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 8ที่มิได้อุทธรณ์และฎีกา และจำเลยที่ 3 ที่ถอนฎีกาให้ได้ลดโทษดุจจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 ที่ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69วรรคหนึ่ง และมาตรา 73 วรรคสอง จำคุกคนละ 2 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมาตรา 73 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86ส่วนอัตราโทษยังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 6 และที่ 7 เป็นเพียงลูกจ้างขนไม้ไปตามคำสั่งของนายจ้างโดยเฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการหากต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจะต้องออกจากราชการ จึงมีเหตุที่ศาลจะรอการลงโทษนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3205/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สนับสนุนการฆ่า: การกระทำช่วยเตรียมการก่อนฆ่า ไม่ถือเป็นการร่วมกระทำผิด
จำเลยที่ 1 รู้แผนการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะมายิงผู้ตายโดยช่วยขับรถยนต์พาจำเลยที่ 2 ที่ 3 มายังโรงพยาบาลที่เกิดเหตุแล้วจอดรถรออยู่นอกโรงพยาบาล ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 250 เมตรจำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถเห็นเหตุการณ์หรือให้ความช่วยเหลือจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในขณะยิงผู้ตายได้เพราะอยู่ห่างไกลและมีตึกบังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 แบ่งหน้าที่ในการฆ่าผู้ตายมาทำส่วนหนึ่งจึงไม่เป็นการร่วมในการกระทำผิดแต่เป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก่อนกระทำผิด จำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้จำเลยที่ 1 มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกาโดยตรง ศาลฎีกาก็วินิจฉัยได้เองเพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานสนับสนุนพยายามฆ่า: การแบ่งหน้าที่ช่วยเหลือยิง ไม่ถึงขั้นร่วมกระทำผิดโดยตรง
จำเลยที่ 3 ได้รับการจ้างวานให้ไปฆ่าโจทก์ร่วม จึงได้วางแผนจัดหาคนที่จะไปลอบยิงรวมทั้งอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์ ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ได้นัดให้จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปรอยังร้านอาหารใกล้สถานที่เกิดเหตุ ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 1 กับพวกได้ออกจากที่พักนั่งรถแท็กซี่ตามไปในเวลาใกล้เคียงกัน เฝ้าดักรออยู่ในร้านอาหารจนเมื่อเห็นรถของโจทก์ร่วมแล่นออกมา จำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายติดตามไปทันทีเมื่อทันกันแล้ว จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจึงเป็นพฤติการณ์แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 3 ในการร่วมกันมีและพาอาวุธปืนกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 3 ย่อมมีความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืน แต่จำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมติดตามไปยิงโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย เป็นแต่นั่งรถแท็กซี่กลับไปรอฟังผลยังที่พักกับพวก การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงยังไม่ถึงขั้นร่วมกันกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในการยิงโจทก์ร่วมด้วยการแบ่งหน้าที่กันกระทำคงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ในการยิงโจทก์ร่วม จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)ประกอบด้วยมาตรา 80,86 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2321/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกระทำผิดทางอาญา: การมอบอาวุธปืนไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วม
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มอบอาวุธปืนให้จำเลยที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 2 ท้าผู้เสียหายกับพวกชกต่อย ครั้นผู้เสียหายกับพวกลงจากบ้านจำเลยที่ 2 ได้วิ่งหนี แต่เมื่อผู้เสียหายกับพวกวิ่งไล่ตาม จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนยิง ดังนี้ เป็นการตัดสินใจของจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียวเพื่อมิให้ผู้เสียหายกับพวกวิ่งไล่ตามกรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2321/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกระทำผิดทางอาญา: การมอบอาวุธปืนไม่ใช่การสมคบหรือกระทำผิดร่วมกันหากผู้รับไปกระทำผิดด้วยตนเอง
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มอบอาวุธปืนให้จำเลยที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 2 ท้าผู้เสียหายกับพวกชกต่อยครั้นผู้เสียหายกับพวกลงจากบ้านจำเลยที่ 2 ได้วิ่งหนี แต่เมื่อผู้เสียหายกับพวกวิ่งไล่ตาม จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนยิง ดังนี้เป็นการตัดสินใจของจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียวเพื่อมิให้ผู้เสียหายกับพวกวิ่งไล่ตาม กรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้ให้สินบน: แม้จะได้รับความเสียหาย แต่หากร่วมกระทำผิดให้สินบนกับจำเลย ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การและมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) โจทก์มอบเงินให้จำเลยเพื่อนำไปมอบให้พนักงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซึ่งช่วยเหลือให้โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินสินบน ถือได้ว่า โจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยไปกระทำความผิดแม้จำเลยรับเงินไปแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันขนส่งยาเสพติด การรับสารภาพ และพยานหลักฐานสนับสนุน
จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่ารถคันที่ใช้บรรทุกกัญชา และร่วมโดยสารมาในรถตั้งแต่ขับออกจากกรุงเทพมหานคร การขนกัญชาเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะขนกันเป็นจำนวนมากด้วยย่อมมีโทษสูง ตามธรรมดาผู้กระทำผิดย่อมจะต้องปกปิดเป็นความลับ ถ้า จำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดแล้วก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ผู้กระทำความผิดจะกล้าให้จำเลยโดยสารมาในรถด้วย พฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาต.