พบผลลัพธ์ทั้งหมด 99 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3336/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบโฉนดที่ดินหลังศาลตัดสินให้กรรมสิทธิ์แก่ผู้ครอบครอง แม้โฉนดอยู่ที่จำเลย ไม่ต้องมีนิติกรรมบังคับ
การที่ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินบางส่วนตามโฉนดที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองนั้น แม้โฉนดที่ดินอยู่ที่จำเลย โจทก์ก็จะขอให้จำเลยส่งมอบโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์เพื่อไปจดทะเบียนสิทธิหาได้ไม่เพราะกรณีนี้ไม่มีนิติกรรม นิติเหตุ หรือบทกฎหมายใดที่กำหนดให้จำเลยต้องส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ ทั้งตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร โจทก์ย่อมสามารถที่จะปฏิบัติตามและได้รับผลตามความประสงค์ของโจทก์อยู่แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3639/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และการทำร้ายร่างกายต่อเนื่อง: ศาลตัดสินลงโทษฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ
จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วพาผู้เสียหายขึ้นรถไปหลังจากนั้นประมาณ 10-25 นาที จำเลยกับพวกจอดรถและทำร้ายผู้เสียหายกับเอาทรัพย์ในตัวผู้เสียหายไปอีก ถือว่าการทำร้ายอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์เพราะจำเลยกับพวกกำลังพารถยนต์และทรัพย์อื่นที่ปล้นได้ไป และเมื่อทำร้ายแล้วก็ยังเอาทรัพย์จากผู้เสียหายเพิ่มเติมอีก การทำร้ายจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและอาวุธอื่น ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงด้วย จึงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและอาวุธอื่น ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงด้วย จึงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจากการชุลมุนช่วยเหลือญาติ ศาลตัดสินว่าไม่มีเจตนาฆ่า เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
ญาติของจำเลยทะเลาะและเข้าชุลมุนกอดปล้ำกับผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยซึ่งกำลังทำครัวอยู่เห็นเหตุการณ์ จึงได้เข้าช่วยญาติของตน ด้วยการใช้มีดทำครัวฟันผู้เสียหายทั้งสอง ผู้เสียหายคนหนึ่งมีบาดแผลถูกฟันที่ศีรษะ 2 แผลกว้าง 0.5 เซนติเมตร ยาว 3 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะ กับมีบาดแผลอื่นที่ศีรษะซึ่งมิได้เกิดจากถูกจำเลยฟันอีก 2 แผล บาดแผลทั้งหมดแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาหายภายใน 15 วัน ส่วนผู้เสียหายอีกคนหนึ่งมีบาดแผลทั้งหมด 8 แผล แต่บาดแผลที่เกิดจากถูกจำเลยฟันมี 2 แผล แผลหนึ่งกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตรลึกแค่ผิวหนัง อีกแผลหนึ่งที่กลางใบหูซ้ายขาดลึกถึงกระดูกอ่อนที่ใบหูยาวตลอดลำคอด้านซ้าย กว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 15 เซนติเมตร ลึกถึงกล้ามเนื้อแพทย์มิได้เบิกความว่าบาดแผลนี้จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย บาดแผลดังกล่าวไม่เป็นบาดแผลที่ทำให้เกิดอันตรายแก่กายสาหัส ไม่มีรายงานการชันสูตรไว้โดยเฉพาะว่ารักษาหายภายในกี่วัน จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองจำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 91 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2080/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องซ้ำในประเด็นที่ศาลตัดสินแล้ว ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำที่กฎหมายห้าม
ผู้ประกันยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ให้ลดค่าปรับ เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับคำร้องของผู้ประกันในกรณีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นลดค่าปรับโดยอ้างเหตุเดิมอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉยชี้ขาดไปแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของผู้ประกันฉบับหลังว่า ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม และผู้ประกันอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังศาลตัดสินสิทธิในที่ดิน: การครอบครองต่อเนื่องไม่สร้างสิทธิใหม่
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และคดีถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยคงยึดถือที่นาพิพาทสืบเนื่องต่อมาเท่านั้น ไม่มีพฤติการณ์ใดขึ้นใหม่อันจะแสดงว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่นาพิพาท จึงจะนำระยะเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 กำหนด 1 ปี มาบังคับแก่โจทก์มิได้
โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา แม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลย จำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้
โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา แม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลย จำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังศาลตัดสินสิทธิในที่ดิน การครอบครองต่อเนื่องไม่สร้างสิทธิใหม่
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และคดีถึงที่สุดไปแล้วจำเลยคงยึดถือที่นาพิพาทสืบเนื่องต่อมาเท่านั้น ไม่มีพฤติการณ์ใดขึ้นใหม่อันจะแสดงว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่นาพิพาท จึงจะนำระยะเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375กำหนด 1 ปี มาบังคับแก่โจทก์มิได้
โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลยจำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้
โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลยจำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2964/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในคดีแรงงาน: การเรียกเงินบำเหน็จหลังศาลตัดสินการเลิกจ้างแล้ว
โจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมคดีนั้นศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมโจทก์จึงมาฟ้องเรียกเงินบำเหน็จจากจำเลยในคดีนี้เมื่อสิทธิฟ้องเรียกเงินบำเหน็จมีมูลมาจากการเลิกจ้างของจำเลยคราวเดียวกันแต่โจทก์มิได้ฟ้องรวมไปในคดีก่อนกลับมาฟ้องใหม่คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำตามป.วิ.พ.มาตรา148ประกอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958-971/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยขยันไม่ใช่ค่าจ้าง: ศาลตัดสินว่าเงินเพิ่มจากเบี้ยขยันไม่นำมาคำนวณค่าชดเชย
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างวางกฎเกณฑ์ว่า นายจ้างจะจ่ายเงินเพิ่มแก่ลูกจ้างที่ไม่ขาดงานเลยในเดือนหนึ่งๆจำนวนหนึ่งถ้าขาดงานบ้างเงินเพิ่มก็จะลดลงตามส่วนเงินเพิ่มนี้เป็นเงินประเภทตอบแทนความขยันหรือที่เรียกกันว่าเบี้ยขยันไม่ใช่ตอบแทนการทำงานโดยตรงแม้ในข้อตกลงนั้นจะเรียกว่าค่าจ้างก็ตามเงินเพิ่มนี้ก็หาใช่ค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องนอกคำฟ้อง: ศาลตัดสินเกินขอบเขตคำฟ้องเดิม
คำฟ้องของโจทก์แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์ ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำแทนจำเลยที่ 2 และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 อันจะพอถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์ แม้ศาลล่างทั้งสองรับวินิจฉัยและตัดสินในปัญหานี้มา ก็เป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์อันเป็นการต้องห้ามตาม มาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าในการซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์จำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นเรื่องนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ ศาลฎีการับฟัง เช่นนั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3876/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำให้การ: เหตุสมควรอนุญาตแก้ไขคำให้การก่อนศาลตัดสินเมื่อมีเหตุผลสำคัญและจำเลยมิได้มีเจตนาออกเช็คผิดกฎหมาย
ชั้นแรกจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาจำเลยขอถอนคำให้การเดิมขอให้การรับสารภาพโดยทนายความของจำเลยมิได้ฟังการพิจารณาอยู่ด้วย หลังจากนั้น 7 วันจำเลยขอแก้คำให้การใหม่เป็นให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าให้การรับสารภาพเพราะเข้าใจผิด ความจริงจำเลยออกเช็คเป็นประกันหนี้และผู้ทรงเช็คลงวันที่สั่งจ่ายโดยจำเลยไม่ทราบ ดังนี้ หากเป็นไปตามที่จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้าง จำเลยก็ไม่มีความผิดทั้งจำเลยขอแก้ไขคำให้การก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา จึงมีเหตุสมควรอนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การได้