คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลยกคำร้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 71 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5216/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำเรื่องครอบครองปรปักษ์: เหตุเดิมฟ้องแล้ว ศาลยกคำร้อง ขอใหม่ไม่ได้ แม้มีข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
ผู้ร้องเป็นทั้งคู่ความในคดีก่อนและคู่ความในคดีนี้ ประเด็นในคดีก่อนและในคดีนี้เป็นอย่างเดียวกันคือ ผู้ร้องครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ เหตุที่อาศัยเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยในคดีก่อนคือฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงอย่างเจ้าของ และฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2508 จนถึงวันที่ยื่นคำร้องขอในคดีก่อนคือวันที่ 29 พฤศจิกายน 2531 การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอในคดีนี้ว่าครอบครองปรปักษ์ตั้งแต่ปี 2518 จนถึงวันยื่นคำร้องขอคดีนี้คือวันที่ 25 มิถุนายน2533 เป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้ว จึงเป็นการอาศัยเหตุแห่งการวินิจฉัยเดียวกันคำร้องขอในคดีนี้จึงเป็นการฟ้องซ้ำ
แม้ในคดีก่อนมีแต่ผู้ร้องฝ่ายเดียว ไม่มีผู้คัดค้านก็ตาม ผู้ร้องก็เป็นคู่ความตามความหมายของ ป.วิ.พ.มาตรา 1 (11) เมื่อผู้ร้องเป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อน คดีของผู้ร้องจึงเป็นการฟ้องซ้ำได้
การที่ผู้ร้องอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขอติดตั้งน้ำประปา ไฟฟ้า และเสียภาษีบำรุงท้องที่ในนามของผู้ร้อง ซึ่งบางส่วนเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังจากศาลยกคำร้องขอในคดีก่อน แต่เกิดขึ้นยังไม่ถึง 10 ปีก็เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุที่ศาลชั้นต้นอาศัยเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยยกคำร้องขอนั่นเอง ผู้ร้องจะนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่มารวมกับข้อเท็จจริงเดิมเพื่อให้เห็นว่าครอบครองปรปักษ์ครบ 10 ปีแล้วไม่ได้
ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีโดยทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่ง กฎหมายมิได้บัญญัติให้อำนาจศาลในการสั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมแก่ผู้ร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3720/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดีด้วยเหตุผลไม่สมควร ศาลมีอำนาจยกคำร้องได้
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของ ผู้คัดค้านทั้งห้าถึง 4 นัดในนัดที่สี่ผู้คัดค้านทั้งห้าไม่มาศาล คงมีแต่ทนายความผู้คัดค้านทั้งห้ามาแถลงขอเลื่อนคดีอ้างว่าผู้คัดค้านทั้งห้าติดพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม ทั้งเคยขอเลื่อนคดีมาถึง 3 นัดติดต่อกันแล้วและในนัดที่แล้วทนายผู้คัดค้านทั้งห้าก็แถลงว่าจะขอเลื่อนคดีเป็นนัดสุดท้าย พฤติการณ์เช่นนี้เป็นการไม่นำพาต่อกำหนดนัดของศาลจึงถือว่าเป็นการประวิงคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2885/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาคำขอพิจารณาใหม่หลังคำบังคับ: ยื่นล่าช้าและไม่แจ้งเหตุ ศาลยกคำร้อง
เมื่อมีการปิดประกาศคำบังคับหน้าศาลวันที่8ตุลาคม2535คำบังคับจะมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลา15วันได้ล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา79วรรคสองหากจำเลยจะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นภายใน15วันนับจากวันที่24ตุลาคม2535ถ้าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวก็จำต้องระบุเหตุแห่งการที่ยื่นคำขอมาล่าช้าแต่คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยลงวันที่25มกราคม2536ซึ่งเกินกำหนดเวลาดังกล่าวและมิได้ระบุเหตุผลที่ยื่นล่าช้ากำหนดเวลาที่จะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่กรณีนี้หาใช่หกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องยื่นภายในกำหนดเวลาและมีรายละเอียดครบถ้วน หากไม่เป็นไปตามกฎหมาย ศาลมีอำนาจยกคำร้องได้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ที่ยื่นมานั้นถ้าศาลพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่าเป็นคำร้องที่ไม่กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งสาเหตุที่ขาดนัดและข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208วรรคสองศาลก็มีอำนาจสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้และเมื่อมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียแล้วก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องส่งสำเนาคำร้องให้แก่อีกฝ่ายเพื่อคัดค้านหรือไม่อีก จำเลยทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอพิจารณาใหม่ฉบับแรกแล้วได้ยื่นคำร้องฉบับที่2อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้คำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยสมบูรณ์ตามกฎหมายแม้คำร้องฉบับที่2จะต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันกับฉบับแรกก็ตามแต่จำเลยก็ต้องยื่นต่อศาลภายในกำหนด15วันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7520/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเลื่อนคดีภายหลังศาลยกคำร้องเดิม แม้มีเหตุสุดวิสัย ศาลฎีกาตัดสินว่าจำเลยต้องแจ้งเหตุขัดข้องภายในเวลาที่กำหนด
แม้จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลย เพราะเหตุฝ่ายจำเลยไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องไปแล้วก็ตาม แต่ตามคำร้องของจำเลยได้ยกข้ออ้างว่ามีพฤติการณ์พิเศษและเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีได้ภายในเวลานัดไต่สวนคำร้อง ซึ่งจำเลยชอบที่จะกระทำได้ และหากปรากฎว่าคดีมีพฤติการณ์พิเศษและเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ยกคำร้องของผู้ร้องได้ตามมาตรา 27 และให้เลื่อนวันนัดไต่สวนคำร้องให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23และมาตรา 40 ได้ เหตุตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยอ้างเหตุในคำร้องขอเลื่อนคดีว่าทนายจำเลย เดินทางไปยังอำเภอวัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2535 เพื่อเจรจาตกลงเรื่องค่าเสียหายที่ลูกความได้ขับรถยนต์ชนคนตายไม่อาจเดินทางกลับมาว่าความได้ทันเพราะรถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะไปและกลับเครื่องยนต์เสีย เมื่อศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 17 กุมภาพันธ์2535 เวลา 13.30 นาฬิกา แม้ในวันเวลาดังกล่าว ทนายจำเลยจะไม่อาจเดินทางกลับมาว่าความได้ทันกำหนดนัดก็ตาม ตัวจำเลยซึ่งสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อศาลได้ก็ชอบที่จะมาศาลในวันนัดและแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบถึงเหตุขัดข้องจำเป็นต้องขอเลื่อนคดีภายในเวลาที่กำหนด ยิ่งปรากฎว่าศาลชั้นต้นรออยู่จนถึงเวลา 14.30 นาฬิกาตัวจำเลยก็มิได้มาศาลเพิ่งมาศาลและยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีภายหลังพ้นกำหนดเวลานัดพิจารณาและศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องไปแล้วนอกจากนั้นหากรถยนต์ที่ทนายจำเลยใช้เป็นยานพาหนะไปและกลับเครื่องยนต์เสียจริง ทนายจำเลยก็สามารถเดินทางโดยยานพาหนะอื่นได้กรณีจึงถือไม่ได้ว่าตามคำร้องของจำเลยมีพฤติการณ์พิเศษและเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย จำเลยจะยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีภายหลังเวลานัดไต่สวนคำร้องและหลังจากศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องไปแล้วหาได้ไม่คดีไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่ขาดความชัดเจนในรายละเอียดข้อกล่าวหา ถือเป็นคำร้องเคลือบคลุม ศาลยกคำร้องได้
การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น มาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมดังนั้น คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงต้องตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองด้วย ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างเหตุคัดค้านการเลือกตั้งว่าได้มีการกระทำฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 51 และ 52โดยกล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนนหรือเจ้าหน้าที่คะแนนรวม 7 อำเภอ ได้จงใจนับบัตรเลือกตั้งผิดจากความจริง นำบัตรเลือกตั้ง ซึ่งกากบาทหมายเลข 7,8 และ 9 ไว้ด้วยใส่ลงในหีบบัตรเลือกตั้งโดยมิชอบ จงใจอ่านบัตรเลือกตั้งให้ผิดจากความจริงโดยเรียกขานบัตรเลือกตั้งที่ลงให้ผู้ร้องที่ 1 กับพวกเป็นของผู้สมัครหมายเลข 7,8 และ 9 ทำลายเครื่องหมายที่ผู้เลือกตั้งกากบาทให้ผู้ร้องที่ 1 เป็นบัตรเสีย มิได้ชูบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนแล้วให้เห็นโดยเปิดเผย และบางหน่วยเลือกตั้งมีการลงคะแนนเกินกว่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้ร้องมิได้แสดงให้แจ้งชัดซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นสภาพแห่งข้อหาว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งผู้ใด กรรมการตรวจคะแนนผู้ใดประจำหน่วยเลือกตั้งใด เป็นผู้กระทำเช่นนั้น และหน่วยเลือกตั้งใดที่มีการลงคะแนนเกินกว่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพียงแต่กล่าวอ้างคลุม ๆ มาทุกหน่วยเลือกตั้งจึงเป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่พอที่จะทำให้ผู้คัดค้านทั้งสี่เข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำร้องจึงเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่เคลือบคลุม ไม่แสดงสภาพแห่งข้อหาชัดเจน ศาลยกคำร้อง
เหตุคัดค้านการเลือกตั้งข้อ (1) ผู้ร้องมิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นสภาพแห่งข้อหาว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งผู้ใด กรรมการตรวจคะแนนผู้ใดหรือเจ้าหน้าที่นับคะแนนผู้ใดนับบัตรเลือกตั้งหรือคะแนนการเลือกตั้งให้ผิดไปจากความจริง หรือรวมคะแนนผิดไปจากความจริง ผู้ร้องเพียงแต่กล่าวอ้างคลุม ๆ มาว่า กรรมการทุกคนทุกหน่วยเลือกตั้งในเขตอำเภอแม่ลาน้อย กับกิ่งอำเภอปางมะผ้ากระทำการดังกล่าว ซึ่งแสดงถึงการคาดคะเนเอาเองของผู้ร้อง ที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการนับบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้ผู้ร้องเป็นบัตรเสียและลงคะแนนให้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบัตรดีนั้น ผู้ร้องก็มิได้บรรยายว่าลักษณะของบัตรเสียนั้นเป็นลักษณะเช่นใด เพราะตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 73 ได้กำหนดประเภทของบัตรเสียไว้ถึง 6 ชนิดบัตรเสียที่ผู้ร้องอ้างไม่ปรากฏว่าเป็นบัตรชนิดใดทั้งไม่มีรายละเอียดว่าบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนให้แก่ผู้ร้องซึ่งกรรมการตรวจคะแนนนับเป็นบัตรเสียมีจำนวนเท่าใดและบัตรเสียที่ลงคะแนนให้ผู้คัดค้านที่ 2 นับเป็นบัตรดีนั้นมีจำนวนเท่าใด ที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการนับคะแนนของผู้ร้องกับผู้สมัครรายอื่นให้เป็นของผู้คัดค้านที่ 2 นั้น ผู้ร้องก็มิได้บรรยายว่าคะแนนของผู้ร้องกับผู้สมัครรายอื่นที่อ้างว่านับให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 นั้นมีจำนวนเท่าใด ผู้สมัครรายอื่นนั้นก็ไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ใดแน่ ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องในเหตุการณ์แรกนี้จึงเลื่อนลอยและเคลือบคลุม ไม่พอที่จะให้ผู้คัดค้านทั้งสองเข้าใจข้อหาได้ดีและต่อสู้คดีได้ถูกต้องจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง เหตุคัดค้านการเลือกตั้ง ข้อ (2) ผู้ร้องมิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นสภาพแห่งข้อหาเช่นกันกล่าวคือ คำร้องมิได้บรรยายว่า เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือกรรมการตรวจคะแนนผู้ใดกระทำการดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง เพียงแต่อ้างคลุม ๆ มาเช่นกันว่า กรรมการทุกคนทุกหน่วยเลือกตั้งเท่านั้น และมีการอ่านคะแนนผิดความจริงอย่างไรก็ไม่ปรากฏ ตามคำร้องก็ไม่แน่นอนว่าเป็นกรณีที่กรรมการตรวจคะแนนอ่านคะแนนหรือรวมคะแนนผิดความจริงกันแน่ จำนวนคะแนนที่ผู้ร้องอ้างว่าลดลงไปแล้วเพิ่มให้ผู้คัดค้านที่ 2 ก็เป็นแต่เพียงการกะประมาณเอาเองของผู้ร้องเท่านั้น คำร้อง ของ ผู้ร้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุมเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2729/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการอุทธรณ์และการวางเงินชำระตามคำพิพากษา ทำให้ศาลยกคำร้องอุทธรณ์
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะยกคำร้องนั้นได้ โดยไม่ต้องกำหนดวันเวลาให้จำเลยปฏิบัติก่อน เพราะบทบัญญัติมาตรานี้บังคับผู้อุทธรณ์แต่เพียงผู้เดียวให้ต้องปฏิบัติ มิใช่เป็นหน้าที่ของศาล คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 มิใช่เป็นคำสั่งไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21(2) ชอบที่ผู้พิพากษาคนเดียวจะสั่งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ภาษีการค้าไม่ใช่บุริมสิทธิ ศาลยกคำร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยก่อนเจ้าหนี้รายอื่นโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีการค้าที่จำเลยค้างชำระอยู่ อันเป็นหนี้บุริมสิทธิเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า หนี้ค่าภาษีการค้าที่ค้างชำระนั้นเป็นหนี้สามัญ ศาลก็ต้องยกคำร้องของผู้ร้องเสีย โดยไม่ต้องพิจารณาว่าตามคำร้องเป็นกรณีขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290ด้วยหรือไม่ เพราะเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นในคดีนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ก่อนโดยอาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิตาม ป.วิ.พ.มาตรา 289 ซึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (1) ท้าย ป.วิ.พ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5585/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดจำเลยไม่ออกเดินทางแต่เนิ่นๆ ทำให้ไม่ทันนัดไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชอบธรรมที่ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเลื่อนการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยไปตามคำร้องขอของจำเลย จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องคำนวณระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางและออกเดินทางเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ทันเวลานัดของศาล เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ปรากฏว่ารถยนต์โดยสารที่จำเลยเดินทางมานั้น ใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติเกินกว่าที่คาดคิดแต่อย่างใดจึงเห็นได้ว่าการที่จำเลยมาศาลไม่ทันเวลานัด เป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ไม่ออกเดินทางมาก่อนหน้านั้น ดังนั้น แม้จะฟังเป็นความจริงดังที่จำเลยอ้างในคำร้อง ก็ไม่มีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนคำสั่งที่ให้ยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยได้ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนเสียก่อนจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
of 8