พบผลลัพธ์ทั้งหมด 67 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1711/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่ถอนจำนองแยกจากหนี้ค้ำประกัน แม้สัญญาทำพร้อมกัน ศาลสั่งให้ไถ่ถอนได้
โจทก์จำนองที่ดินไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้บริษัท ภ.และหนี้ของโจทก์เองเป็นเงิน 180,000 บาทในวันเดียวกันนั้นโจทก์ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ภ. สัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันจึงแยกต่างหากจากกัน จำเลยมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินซึ่งจำนองในวงเงิน 180,000 บาทพร้อมทั้งค่าอุปกรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 เท่านั้นส่วนหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ภ. ที่เกินกว่าจำนวนเงินที่จำนองเป็นประกันนั้นเป็นบุคคลสิทธิที่จำเลยจะต้องติดตามบังคับเอาจากโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันในฐานะเป็นเจ้าหนี้สามัญโจทก์จึงมีสิทธิไถ่จำนองได้โดยไม่ต้องชำระหนี้ของบริษัท ภ. ซึ่งนอกเหนือจากหนี้จำนองเมื่อสัญญาจำนองมิได้กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนไว้ และโจทก์ผู้จำนองแสดงความจำนงขอไถ่ถอนจำนองแล้วจำเลยจะไม่ยอมให้ไถ่ถอนจำนองโดยอ้างว่า โจทก์ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ค้ำประกันอยู่อีกไม่ได้เพราะเป็นความรับผิดตามสัญญาคนละฉบับซึ่งแยกต่างหากจากกันและไม่เกี่ยวข้องกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1832/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนสมรสของชาวต่างชาติ: สิทธิในการยื่นคำร้องและอำนาจศาลในการสั่งให้นายทะเบียนจดทะเบียน
เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสนั้น พระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพุทธศักราช 2478 มาตรา 10 บัญญัติให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนสมรสให้เมื่อมีการร้องขอ การที่นายทะเบียนจะปฏิเสธได้ก็ต่อเมื่อปรากฏว่ามิได้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่ง มาตรา 1448 ถึงมาตรา 1454 และมาตรา 1458 ตามที่ได้ ตรวจชำระใหม่ ซึ่งมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 ห้ามมิให้นายทะเบียนจดทะเบียนสมรสในกรณีที่นายทะเบียนไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรส ผู้มีส่วนได้เสียก็มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาล โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เมื่อศาลไต่สวนได้ความว่าการเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งกฎหมายครบถ้วนแล้ว ก็ให้ศาลมีคำสั่งไปให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนได้ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ซื้อจากการขายทอดตลาด แม้ทรัพย์สินไม่ใช่ของจำเลย ศาลสั่งออกใบแทน น.ส.3 ได้
สิทธิของผู้ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริตย่อมไม่เสียไป แม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 และแม้ผู้ร้องยึดถือ น.ส.3 ก. สำหรับที่ดินดังกล่าวโดยชอบ เมื่อไม่ยอมมอบต่อศาล ศาลก็มีอำนาจสั่งให้นายอำเภอออกใบแทน น.ส.3 ก. สำหรับที่พิพาทเพื่อจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1497/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินไถ่จำนองแล้วโจทก์ไม่รับ ศาลสั่งให้ใช้เงินตามที่วางโดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
จำเลยวางเงินไถ่จำนองต่อศาลโดยยอมรับผิดและยอมให้โจทก์รับไปได้ แต่โจทก์ไม่รับไปโดยเห็นว่าควรได้มากกว่านั้น ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามที่จำเลยวางต่อศาล ดังนี้ จำเลยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นตั้งแต่วันที่วางเงิน ข้อนี้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผิดนัดชำระหนี้ ศาลสั่งโอนที่ดินได้ตามสัญญา
สัญญาประนีประนอมยอมความมีความว่า จำเลยจะผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นงวด ๆ ละ 3 เดือน โดยให้จำเลยชำระงวดที่สองนับแต่วันที่ชำระงวดแรก ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระเงินงวดแรกในวันที่ 20 สิงหาคม 2512 จำเลยจึงต้องชำระเงินงวดที่สองให้โจทก์ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 และชำระเงินงวดที่สามในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2513 เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินตามเวลาดังกล่าว ก็ต้องถือว่าจำเลยผิดสัญญา
สัญญาประนีประนอมยอมความมีความต่อไปว่า ถ้าจำเลยผิดนัดชำระเงินตั้งแต่งวดที่สอง สองงวดติดกัน ให้โจทก์ริบเอาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของโจกท์ได้ทันที และจำเลยต้องไปโอนใน 3 วัน ถ้าไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เช่นนี้ เห็นได้ว่า กำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องโอนที่ดินดังกล่าวได้ล่วงพ้นมาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2513 จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อนี้อีกด้วย เมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ หาใช่จะต้องมาเริ่มนับเวลาชำระหนี้กันใหม่ตั้งแต่วันถัดจากวันที่จำเลยฟังคำสั่งของศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับไม่ เพราะการให้ทุเลาการบังคับ เป็นเรื่องรอการบังคับไว้จนกว่าศาลจะพิพากษา เป็นคนละเรื่องกันกับกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้มีคำพิพากษาและมีคำบังคับตามยอมแล้ว
สัญญาประนีประนอมยอมความมีความต่อไปว่า ถ้าจำเลยผิดนัดชำระเงินตั้งแต่งวดที่สอง สองงวดติดกัน ให้โจทก์ริบเอาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของโจกท์ได้ทันที และจำเลยต้องไปโอนใน 3 วัน ถ้าไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เช่นนี้ เห็นได้ว่า กำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องโอนที่ดินดังกล่าวได้ล่วงพ้นมาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2513 จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อนี้อีกด้วย เมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ หาใช่จะต้องมาเริ่มนับเวลาชำระหนี้กันใหม่ตั้งแต่วันถัดจากวันที่จำเลยฟังคำสั่งของศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับไม่ เพราะการให้ทุเลาการบังคับ เป็นเรื่องรอการบังคับไว้จนกว่าศาลจะพิพากษา เป็นคนละเรื่องกันกับกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้มีคำพิพากษาและมีคำบังคับตามยอมแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2239/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง: สัญญาขายฝากที่แท้จริงเป็นการจำนอง แม้ไม่ได้จดทะเบียน ศาลสั่งให้จำเลยรับเงินไถ่ถอน
การที่โจทก์จำเลยจดทะเบียนสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทถ้าโจทก์จำเลยไม่มีเจตนาจะผูกพันกันตามสัญญาขายฝากสัญญานั้นก็เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 118 วรรคแรก
ก่อนทำสัญญาขายฝากก็ดี ขณะทำสัญญาขายฝากก็ดีภายหลังทำสัญญาขายฝากก็ดีโจทก์จำเลยมิได้ตั้งใจจะผูกพันกันตามสัญญาขายฝาก เป็นเรื่องที่จำเลยต้องการดอกเบี้ยเท่านั้นโดยจำเลยสัญญาจะไม่เอาที่ดินหลุดเป็นสิทธิ ถือได้ว่าโจทก์ทำสัญญาขายฝากอำพรางการจำนอง
การที่นิติกรรมอันหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่งนิติกรรมอันแรกคือสัญญาขายฝากย่อมเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณี ที่จะไม่ผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น นิติกรรมอันแรกที่ปรากฏออกมานั้นย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา118 วรรคแรก ส่วนนิติกรรมอันหลังคือสัญญาจำนองที่ถูกอำพรางไว้โดยนิติกรรมอันแรกต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามมาตรา 118 วรรค 2 เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาทำสัญญาจำนองแล้วแต่การจำนองไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการจำนอง เป็นเพียงการที่โจทก์กู้เงินจากจำเลย และให้ที่ดินแก่จำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน และย่อมถือได้ว่าเอกสารการขายฝากที่โจทก์จำเลยทำไว้ ณสำนักงานที่ดิน เป็นนิติกรรมสัญญากู้เงินที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างโจทก์จำเลยนั้น ฉะนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขอนำเงินมาไถ่ถอนที่พิพาท ก็เท่ากับโจทก์ขอชำระหนี้เงินกู้จำเลยมีหน้าที่รับชำระและคืนที่พิพาทที่เป็นประกันนั้นให้โจทก์ไป
ก่อนทำสัญญาขายฝากก็ดี ขณะทำสัญญาขายฝากก็ดีภายหลังทำสัญญาขายฝากก็ดีโจทก์จำเลยมิได้ตั้งใจจะผูกพันกันตามสัญญาขายฝาก เป็นเรื่องที่จำเลยต้องการดอกเบี้ยเท่านั้นโดยจำเลยสัญญาจะไม่เอาที่ดินหลุดเป็นสิทธิ ถือได้ว่าโจทก์ทำสัญญาขายฝากอำพรางการจำนอง
การที่นิติกรรมอันหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่งนิติกรรมอันแรกคือสัญญาขายฝากย่อมเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณี ที่จะไม่ผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น นิติกรรมอันแรกที่ปรากฏออกมานั้นย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา118 วรรคแรก ส่วนนิติกรรมอันหลังคือสัญญาจำนองที่ถูกอำพรางไว้โดยนิติกรรมอันแรกต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามมาตรา 118 วรรค 2 เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาทำสัญญาจำนองแล้วแต่การจำนองไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการจำนอง เป็นเพียงการที่โจทก์กู้เงินจากจำเลย และให้ที่ดินแก่จำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน และย่อมถือได้ว่าเอกสารการขายฝากที่โจทก์จำเลยทำไว้ ณสำนักงานที่ดิน เป็นนิติกรรมสัญญากู้เงินที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างโจทก์จำเลยนั้น ฉะนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขอนำเงินมาไถ่ถอนที่พิพาท ก็เท่ากับโจทก์ขอชำระหนี้เงินกู้จำเลยมีหน้าที่รับชำระและคืนที่พิพาทที่เป็นประกันนั้นให้โจทก์ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนำและดอกเบี้ย: แม้จำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง ศาลก็สั่งให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยได้ หากมีข้อตกลงหรือกฎหมายรองรับ
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยรับเงิน 3,500 บาท ที่โจทก์กู้ไปจากจำเลยและให้จำเลยมอบปืนที่โจทก์จำนำไว้เป็นประกันคืนให้แก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้ชำระเงินยืมคืนภายในกำหนดรวมทั้งดอกเบี้ยจำเลยยอมรับชำระหนี้จากโจทก์แต่ขอคิดค่าดอกเบี้ยด้วย ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาตามคำขอของโจทก์ให้จำเลยรับชำระเงิน 3,500บาท รวมทั้งดอกเบี้ยที่โจทก์จะต้องรับผิดด้วยได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ใช้ดอกเบี้ยก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอศาลสั่งให้บุคคลสาบสูญ: การพิจารณาภูมิลำเนาและระยะเวลาขาดการติดต่อ
ซ. บุตรผู้ร้องได้อยู่กับผู้ร้องที่ตลาดชุมแสงตั้งแต่เล็ก ๆ และได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนจีนในอำเภอชุมแสง ต่อมา ซ. มาเรียนต่อที่จังหวัดพระนครจนสำเร็จแล้วสมัครเป็นครูโรงเรียนจีนสอนอยู่ประมาณปีเศษ ก็ถูกศาลลงโทษฐานเป็นอั้งยี่และถูกเนรเทศไปประเทศจีนก่อนถูกเนรเทศ ซ. มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ตามทะเบียนบ้านและใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ดังนี้ แม้ ซ.จะไปประกอบอาชีพชั่วคราว ณ จังหวัดพระนครก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่า ซ. มีเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1672/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอให้ศาลสั่งให้บุคคลเป็นคนสาบสูญ เมื่อขาดการติดต่อและออกจากภูมิลำเนาเป็นเวลานาน
ในคดีที่ผู้ร้องร้องขอให้บิดาของผู้ร้องเป็นคนสาบสูญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 64 และมีผู้คัดค้านเข้ามาในคดี เมื่อพยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้คัดค้านไม่มีใครทราบแน่ว่า บิดาผู้ร้องเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่เมื่อฟังได้ว่าบิดาผู้ร้องไปจากภูมิลำเนาได้ 20 ปีเศษแล้ว โดยไม่กลับมาอีกเลย กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 64 ในอันที่จะมีคำสั่งให้บิดาผู้ร้องเป็นคนสาบสูญได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-แบ่งทรัพย์สิน: ศาลสั่งแบ่งทรัพย์พิพาทแม้ฟ้องซ้ำ แต่มีส่วนได้ชัดเจน
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท ศาลพิพากษาว่าโจทก์จำเลยและสามีได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันมา จึงไม่อาจพิพากษาขับไล่ได้ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องคดีใหม่เรียกทรัพย์ส่วนแบ่งของตนตามส่วนที่จะพึงได้ คดีนั้นถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ในนาพิพาทว่าเป็นของโจทก์ทั้งหมดและขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารอีก ดังนี้ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มีส่วนได้ในที่พิพาทบางส่วน ก็ควรพิพากษาแบ่งส่วนให้โจทก์จำเลยไปเสียทีเดียวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2) โดยไม่จำต้องให้ไปฟ้องใหม่กันอีก