คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สมควรแก่เหตุ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 139 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายเกินสมควรแก่เหตุ การยิงเพื่อป้องกันภริยาจากผู้ก่อเหตุ
ผู้ตายถืออาวุธปืนเป็นฝ่ายก่อเหตุเข้ามาต่อว่าและตบตีภริยาจำเลย เมื่อจำเลยถือปืนวิ่งออกมาเห็นภริยาจำเลยมีเลือดเปื้อนเต็มตัว จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้ตายจะยิงภริยาจำเลย อันเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันชีวิตภริยาจำเลยได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายติดต่อกันถึง6 นัด ในขณะที่อาวุธปืนในมือของผู้ตายหล่นลงไปที่พื้นแล้ว หากจำเลยยิงผู้ตายเพียงนัดเดียวก็น่าจะหยุดยั้งผู้ตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์มีเหตุผลสอดคล้องต้องกัน และได้ให้การหลังเกิดเหตุไม่นาน ไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เชื่อว่าได้ให้การไปตามความสัตย์จริงตามที่ตนให้รู้เห็นมาโดยไม่มีมูลเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด การที่ประจักษ์พยานโจทก์มาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลปฏิเสธว่าไม่เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุโดยไม่ได้ให้เหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเบิกความในชั้นพิจารณาไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน เชื่อว่าเพื่อช่วยเหลือให้จำเลยพ้นผิดคำให้การพยานชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาล ศาลเชื่อคำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์เป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดพฤติการณ์แห่งคดีพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2983/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุจากการใช้อาวุธร้ายแรงต่อสู้กับผู้ที่ไม่มีอาวุธ
ก่อนเกิดเหตุผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จะกลับบ้านระหว่างทางพบจำเลยขี่รถจักรยานยนต์ตามมา เมื่อเข้าใกล้กันจำเลยได้ทวงหนี้ค่าสุราจากผู้ตาย ผู้ตายเรียกให้จำเลยหยุดรถเพื่อจะใช้เงิน แต่เมื่อเข้ามาจริง ๆ ผู้ตายมีลักษณะโกรธเคือง และพูดว่าต้องสั่งสอน ผู้ตายเดินเข้าไปหาจำเลยเพื่อจะทำร้าย ปรากฏว่าผู้ตายเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง และอ้วนกว่าจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวไม่ให้ถูกทำร้าย แต่การป้องกันตัวของจำเลยดังกล่าวจำเลยได้ใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้ตายซึ่งเชื่อว่ามีเพียงมือเปล่าเท่านั้น จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2775/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเอง: การใช้กำลังเพื่อป้องกันการถูกทำร้ายโดยผู้อื่น
จำเลยถูกฝ่ายผู้เสียหายรุมตีทำร้าย จำเลยจึงใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าอกซ้ายครั้งเดียวในขณะนั้น แผลยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ลึกประมาณ 3 เซนติเมตรดังนี้ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุหลังถูกทำร้ายและการข่มขู่จากบุคคลอื่น ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษ
ผู้เสียหายชกจำเลยล้มลงกับพื้นแล้วยังเข้าเตะซ้ำอีกโดยปราศจากเหตุผลมาก่อน แม้จะปรับความเข้าใจกันแล้ว แต่ ป. ซึ่งออกวิ่งไล่ทำร้ายพวกของจำเลยในทันทีทั้ง ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดได้กลับมาจะเข้าทำร้ายจำเลยอีก จนผู้เสียหายต้องเข้าห้ามไว้ถึงขนาดต้องยื้อยุดฉุดกัน ป. ก็ยังแสดงท่าทีจะเข้าทำร้ายจำเลยอีกพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เนื่องด้วยไม่ปรากฏว่า ป. มีอาวุธอะไรเพียงแต่จะเข้าทำร้ายเท่านั้นการที่จำเลยยิง ป. แต่กระสุนพลาดไปถูกผู้เสียหาย จึงเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อถูกรุมทำร้าย และการใช้สิทธิป้องกันตัวที่สมควรแก่เหตุ
จำเลยกับคนงานนั่งอยู่เต็มท้ายรถยนต์รับส่งคนงานของบริษัทที่จอดรออยู่หน้าโรงงานเพื่อกลับบ้าน ย. เดินไปจะเปิดประตูรถตอนหน้าด้านซ้ายพ. เดินออกจากร้านค้าตรงมาที่ย.โดยมีส.ผู้ตายเดินตามพ.มาด้วยพ.พูดโต้เถียงกับย.เรื่องที่ พ. ถูกไล่ออกจากงาน จำเลยลงจากรถไปห้าม จำเลยกับพ. ท้าทายกันแล้วสมัครใจชกต่อยซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะระหว่าง พ. กับจำเลยเท่านั้น โดยจำเลยพูดว่า'ถ้าต่อยกันแล้วก็แล้วกันไปอย่ามีเรื่องกันอีก'จำเลยมิได้ท้าทาย ส. ผู้ตายกับโจทก์ร่วมหรือบุคคลอื่นและสมัครใจทำร้ายกับบุคคลดังกล่าวแต่อย่างใด ขณะที่จำเลยกับ พ. ชกต่อยกันส.ยืนอยู่ด้านหลังพ. ล. วิ่งออกมาจากร้านค้า และยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัดพร้อมกับร้องบอกไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง เมื่อจำเลยชกพ.ล้มลงแล้วส.ได้เข้าช่วยพ.ชกต่อยจำเลยพ. ลุกขึ้นมาได้ชักปืนออกมายิงจำเลยถูกที่บริเวณใบหน้า อกและท้อง โจทก์ร่วมถือเก้าอี้ขาเหล็กวิ่งเข้ามาตีจำเลยถูกที่บริเวณคางจำเลยเซไปทางหน้ารถและจะวิ่งหนีเข้าโรงงานแต่ ส. ชักมีดออกมาไล่แทงจำเลย ล. ถือปืนวิ่งมาสกัดข้างหน้าและยิงมาทางจำเลยเพื่อไม่ให้จำเลยหลบหนีและโจทก์ร่วมถือเก้าอี้วิ่งเข้ามาตีจำเลยอีก จำเลยจึงชักปืนออกมายิงไปถูกส. และโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตายและโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บสาหัสจำเลยไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีจากการกระทำของบุคคลดังกล่าวจำเลยจึงมีสิทธิที่จะป้องกันตัวจำเลยให้พ้นจากถูกรุมทำร้ายได้และเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2980/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองและป้องกันผู้อื่นจากการถูกทำร้าย: การกระทำที่สมควรแก่เหตุและไม่มีเจตนาฆ่า
ก. กับพวกเป็นฝ่ายก่อเรื่องไล่ทำร้ายจำเลยที่ 1และที่ 2โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้สมัครใจวิวาทด้วย จำเลยที่ 2 ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 1 ในขณะที่ ก. ขึ้นคร่อมจำเลยที่ 1 จะใช้มีดคัตเตอร์แทงจำเลยที่ 1 และมีเพื่อนก. ร้องบอกเอาให้ตาย จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงที่หลัง ก.เพียง 1 ที แล้วชักมีดวิ่งหนีไป แสดงว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เลือกแทงที่สำคัญเพียงแต่แทงเท่าที่โอกาสอำนวยไม่มีเจตนาฆ่า ก. และจำเลยที่ 2 กระทำเพื่อป้องกันมิให้ก. แทงจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ จึงไม่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
จำเลยที่ 1 มิได้สมัครใจวิวาทกับ ก. แต่ถูก ก. กับพวกไล่ทำร้ายจนจำเลยที่ 2 ต้องเข้าช่วยเหลือด้วยการแทง ก. อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ แต่คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 ลงโทษจำคุก 4 เดือน ดังนี้คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2 เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัว เพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 ลงโทษจำคุก 4 เดือนดังนี้คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัวเพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1826/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย: ภยันตรายยังไม่หมดไป การใช้กำลังป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ผู้ตายลากจำเลยเข้าไปในป่าข้างทางเพื่อจะข่มขืนและขู่ว่าจะฆ่าจำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายที 1 แล้วทั้งจำเลยและผู้ตายต่างวิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุห่างประมาณ 100 เมตร แล้วจึงเกิดปลุกปล้ำกัน โดยผู้ตายพยายามแย่งมีดจากจำเลยเพื่อทำร้ายจำเลยจำเลยจึงแทงผู้ตายอีกหลายที เช่นนี้ถือว่าภยันตรายยังไม่หมดไปการที่จำเลยซึ่งเป็นหญิงและอยู่ในภาวะเช่นนั้นใช้มีดแทงผู้ตายจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้ป้องกันตัวจากการข่มขืน: การใช้กำลังที่สมควรแก่เหตุ
จำเลยเป็นหญิงอายุ 20 ปี รูปร่างเล็กกว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นชายอายุ 31 ปี และถูกผู้เสียหายปลุกปล้ำเพื่อร่วมประเวณีด้วยในห้องพักของโรงแรม จำเลยได้ต่อสู้ดิ้นรนกับการกระทำของผู้เสียหาย ขณะที่ถูกผู้เสียหายนอนกดทับพยายามจะข่มขืนอยู่นั้น จำเลยดึงมีดคัตเตอร์ออกจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังมาทำร้ายผู้เสียหาย เป็นบาดแผลที่บริเวณคอ ความยาว 12 เซนติเมตรกว้าง 1/2 เซนติเมตร และลึก 1 เซนติเมตร แม้เป็นการกระทำโดยแรง ถึงขั้นมีดคัตเตอร์หัก แต่จำเลยก็กระทำครั้งเดียวเหตุที่มีดคัตเตอร์หักก็เป็นไปตามสภาพของมีดคัตเตอร์นั่นเอง ทั้งในสภาพที่ถูกกดทับพยายามจะข่มขืนอยู่นั้น จำเลยย่อมไม่มีทางจะเลือกกระทำต่อส่วนอื่นของร่างกายผู้เสียหายได้ คงกระทำได้แต่ส่วนบนที่ไม่ได้กดทับจำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด
of 14