พบผลลัพธ์ทั้งหมด 47 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1591/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันของสัญญายอมความ: การปฏิบัติตามสัญญาเช่าที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอม
คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลว่า จำเลยยอมให้โจทก์เช่าศาลท่าน้ำและชานศาลาเป็นท่าขึ้นลงสำหรับที่เรือจ้างรับส่งคนโดยสาร เมื่อศาลพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญายอมความนั้นแล้วผลก็ย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้นตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 145 วรรคแรก จำเลยจะอ้างว่า ต้องทำสัญญาเช่ากันใหม่ เพราะเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ถ้าโจทก์ไม่ยอมเซ็นสัญญาเช่าใหม่แล้ว จำเลยก็ยังไม่ยอมให้โจทก์เช่า ดังนี้ ไม่ได้เพราะการเช่าย่อมเกิดขึ้นแล้วตามสัญญายอมความ และตามสัญญายอมความก็ไม่มีข้อความว่าจะต้องไปทำสัญญาเช่ากันใหม่ไม่ ฉะนั้นถ้าจำเลยขัดขืนโจทก์ก็ขอให้ศาลออกคำบังคับจำเลยได้ทีเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องคัดค้านการยึดและการเพิกถอนสัญญายอมความต้องดำเนินการโดยการฟ้อง ไม่ใช่คำร้อง
โจทก์นำยึดนามีโฉนดของจำเลย ขอให้ศาลประกาศขายทอดตลาด เพื่อชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาท้ายยอม ปรากฎว่านารายนี้จำเลยได้ทำสัญญาขายให้ผู้ร้องไปครอบครองปีกว่าแล้ว แต่ยังติดขัดโอนโฉนดกันยังไม่ได้ เมื่อเกิดมีคดีระหว่างโจทก์จำเลยขึ้น ผู้ร้องจึงยื่นฟ้องจำเลยบ้างขอให้นาพิพาทแก่ผู้ร้อง และเมื่อนาพิพาทถูกโจทก์ยึดดังกล่าว ผู้ร้องจึงร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญายอมความระหว่างโจทก์จำเลยตามคำพิพากษาท้ายยอม และให้ถอนการยึด ดังนี้ วินิจฉัยว่า ผู้ร้องยังไม่มีสิทธิจะมาร้องขอให้ถอนการยึดได้ และการขอให้จำเลยทำลายสัญญายอมความและคำพิพากษาท้ายยอม ก็ต้องทำเป็นฟ้องไม่ใช่ทำเป็นคำร้อง แม้ในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยให้โอนนาพิพาทให้แก่ผู้ร้องศาลจะได้พิพากษาในภายหลังให้จำเลยโอนนาพิพาทให้ผู้ร้องตามสัญญาซื้อขายก็ดี ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะต้องดำเนินการบังคับคดีนั้นต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ซื้อที่ดินก่อนการยึดและการเพิกถอนสัญญายอมความ ต้องดำเนินการผ่านการฟ้อง ไม่ใช่คำร้อง
โจทก์นำยึดนามีโฉนดของจำเลย ขอให้ศาลประกาศขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาท้ายยอม ปรากฏว่านารายนี้จำเลยได้ทำสัญญาขายให้ผู้ร้องไปครอบครองปีกว่าแล้ว แต่ยังติดขัดโอนโฉนดกันยังไม่ได้ เมื่อเกิดมีคดีระหว่างโจทก์จำเลยขึ้น ผู้ร้องจึงยื่นฟ้องจำเลยบ้างขอให้โอนที่นาพิพาทแก่ผู้ร้อง และเมื่อนาพิพาทถูกโจทก์ยึดดังกล่าว ผู้ร้องจึงร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญายอมความระหว่างโจทก์จำเลยตามคำพิพากษาท้ายยอมและให้ถอนการยึด ดังนี้ วินิจฉัยว่า ผู้ร้องยังไม่มีสิทธิจะมาร้องขอให้ถอนการยึดได้ และการขอให้จำเลยทำลายสัญญายอมความและคำพิพากษาท้ายยอม ก็ต้องทำเป็นฟ้องไม่ใช่ทำเป็นคำร้อง แม้ในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยให้โอนนาพิพาทให้แก่ผู้ร้องศาลจะได้พิพากษาในภายหลังให้จำเลยโอนนาพิพาทให้ผู้ร้องตามสัญญาซื้อขายก็ดี ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะต้องดำเนินการบังคับคดีนั้นต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำตามสัญญาประนีประนอม: การฟ้องเรียกค่าเสียหายซ้ำหลังจากทำสัญญายอมความแล้วถือเป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เคยถูกจำเลยฟ้องเรียกค่าเสียหาย โจทก์ก็ได้ให้การต่อสู้และฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากจำเลยบ้างในที่สุดได้ทำสัญญาประณีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามยอมนั้นจนคดีถึงที่สุดแล้วแต่หาได้จัดการให้เป็นไปตามสัญญายอมความกันไม่ ดังนี้ โจทก์จะมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยใหม่ ตามที่ได้เคยฟ้องแย้งไว้นั้นไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ
ทำสัญญาประณีประนอมยอมความว่า จะไปจดทะเบียนสมรสกันที่อำเภอนั้นหาเป็นการผิดกฎหมาย และเป็นโมฆะไม่เพราะคู่กรณีอาจไปจดทะเบียนสมรสได้ตามที่ยอมความกัน
ทำสัญญาประณีประนอมยอมความว่า จะไปจดทะเบียนสมรสกันที่อำเภอนั้นหาเป็นการผิดกฎหมาย และเป็นโมฆะไม่เพราะคู่กรณีอาจไปจดทะเบียนสมรสได้ตามที่ยอมความกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้จากสัญญายอมความเดิมและการนำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อตกลงใหม่
การที่คู่ความทำสัญญายอมความกันใหม่นอกศาล แปลงหนี้จากสัญญายอมความเดิมที่ทำไว้ต่อศาล แต่ต่างไม่แสดงสัญญายอมใหม่ต่อศาล โจทก์ฟ้องอ้างว่าตามสัญญายอมใหม่จำเลยยอมขยายเวลาให้โจทก์ไถ่นาคืนใน พ.ศ.2492 จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ยอมมอบให้นาพิพาทเป็นสิทธิแก่จำเลย ดังนี้โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ตามข้ออ้าง ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อต่อสู้ของจำเลยเพราะจำเลยมิได้ฟ้องแย้ง หากโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องโจทก์ต้องแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามสัญญายอมความต้องเป็นไปโดยความยินยอมของผู้เช่า หากไม่ยินยอม สัญญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพัน
การที่ผู้ให้เช่าและผู้เช่าเคหะทำยอมกันว่า ผู้เช่ายอมออกไปภายในกำหนดวันแน่นอน ฝ่ายผู้ให้เช่ายอมจะชำระเงินให้หนึ่งหมื่นบาทและยอมให้ผู้เช่ารื้อสิ่งปลูกสร้างที่ผู้เช่าทำไว้ไป แต่แล้วผู้เช่ากลับไม่ยอมออกไป จนต้องศาลมีหมายจับมาขัง จึงยอมออกไปและเป็นเวลาล่วงเลยมา ถึง 1 ปี 4 เดือน นับจากวันยอม ดังนี้ ถือว่าผู้เช่าและบริวารมิได้ออกจากที่เช่าไปโดยความยินยอม หรือสมัครใจ ผู้เช่าจะมาขอให้ศาลบังคับผู้ให้เช่าให้ปฏิบัติศาลยอมมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมออกจากที่เช่าเป็นสาระสำคัญของสัญญายอมความ หากไม่ยินยอม สัญญาเป็นโมฆะ
การที่ผู้ให้เช่าและผู้เช่าเคหะทำยอมกันว่า ผู้เช่ายอมออกไปภายในกำหนดวันแน่นอน ฝ่ายผู้ให้เช่ายอมจะชำระเงินให้หนึ่งหมื่นบาท และยอมให้ผู้เช่ารื้อสิ่งปลูกสร้างที่ผู้เช่าทำไว้ไป แต่แล้วผู้เช่ากลับไม่ยอมออกไป จนศาลต้องมีหมายจับมาขัง จึงยอมออกไปและเป็นเวลาล่วงเลยมาถึง 1 ปี 4 เดือน นับจากวันยอม ดังนี้ ถือว่าผู้เช่าและบริวารมิได้ออกจากที่เช่าไปโดยความยินยอม หรือสมัครใจ ผู้เช่าจะมาขอให้ศาลบังคับผู้ให้เช่าให้ปฏิบัติตามยอมมิได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2493)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับสัญญายอมความและการโต้เถียงภายหลัง: ศาลฎีกาพิพากษายืนตามสัญญาที่จำเลยยอมรับ
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความและเรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมนั้นไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ และเถียงในเรื่องค่าเสียหาย ครั้นต่อมายอมรับในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า โจทก์จำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสำเนาท้ายฟ้องจริง คู่ความคงโต้เถียงกันฉะเพาะราคานาพิพาทและค่าเสียหายเท่านั้น และในที่สุดไม่ติดใจโต้เถียงเรื่องราคานา+เสียหายจำเลยก็รับในที่สุดว่าคิดเป็นเงิน 800 บาท ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้โต้เถียงต่อไปแล้วว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่สมบูรณ์ และเมื่อเรื่องราคานาและจำนวนค่าเสียหายจำเลยก็ไม่เถียงต่อไปแล้ว คดีก็เป็นอันไม่มีประเด็นที่จะสืบกันต่อไป ศาลพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้น และให้ใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์จำเลยยอมรับกันได้ทีเดียว จำเลยจะมาเถียงในชั้นฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับในเรื่องความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมรายนี้ย่อมฟังไม่ได้
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับสัญญายอมความและการสืบพยาน จำเลยต้องนำสืบหากกล่าวอ้างว่าสัญญาไม่สมบูรณ์
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความและเรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมนั้นไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ และเถียงในเรื่องค่าเสียหาย ครั้นต่อมายอมรับในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า โจทก์จำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสำเนาท้ายฟ้องจริง คู่ความคงโต้เถียงกันเฉพาะราคานาพิพาทและค่าเสียหายเท่านั้น และในที่สุดไม่ติดใจโต้เถียงเรื่องราคานาเรื่องค่าเสียหาย จำเลยก็รับในที่สุดว่าคิดเป็นเงิน 800 บาท ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้โต้เถียงต่อไปแล้วว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่สมบูรณ์และเมื่อเรื่องราคานาและจำนวนค่าเสียหายจำเลยก็ไม่เถียงต่อไปแล้ว คดีก็เป็นอันไม่มีประเด็นที่จะสืบกันต่อไป ศาลพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้น และให้ใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์จำเลยยอมรับกันได้ทีเดียว จำเลยจะมาเถียงในชั้นฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับในเรื่องความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมรายนี้ย่อมฟังไม่ได้
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1858/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแท้จริงในสัญญายอมความ: รายการทรัพย์ที่ระบุชัดเจนมีผลเหนือข้อความคลุมเครือ
สัญญายอมความซึ่งข้อความตอนต้นกล่าวว่าให้แบ่งมฤดกตามพินัยกรรม์ แต่ในตอนหลังของข้อเดียวกันนั้นระบุรายการทรัพย์ไว้ชัดแจ้งว่าให้แบ่งทรัพย์อย่างใด ให้ใคร และแบ่งกันอย่างไรซึ่งไม่ตรงกับพินัยกรรม์ ดังนี้ ถือว่าคู่ความมีเจตนาอันแท้จริงที่จะแบ่งทรัพย์มฤดกตามรายการที่ระบุในตอนหลัง
คดีที่ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากมีข้อขัดข้องสงสัย ให้คู่ความร้องขอให้ศาลสั่งได้ เพราะเป็นเรื่องพิพาทกันด้วยเรื่องบังคับคดี มิใช่เรื่องที่อ้างว่าคำพิพากษาไม่เป็นไปตามยอม เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอย่างไรแล้ว ต่อไปคู่ความก็มีสิทธิอุทธรณ์,ฎีกาได้ตามวิธีพิจารณา
คดีที่ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากมีข้อขัดข้องสงสัย ให้คู่ความร้องขอให้ศาลสั่งได้ เพราะเป็นเรื่องพิพาทกันด้วยเรื่องบังคับคดี มิใช่เรื่องที่อ้างว่าคำพิพากษาไม่เป็นไปตามยอม เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอย่างไรแล้ว ต่อไปคู่ความก็มีสิทธิอุทธรณ์,ฎีกาได้ตามวิธีพิจารณา