คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สำนักงาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 34 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2592/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาบริษัทตามที่จดทะเบียนสำคัญกว่าการย้ายสำนักงานที่ยังไม่แจ้งจดทะเบียน การส่งหมายเรียกที่สำนักงานเดิมชอบด้วยกฎหมาย
ตราบใดที่จำเลยยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงถิ่นที่ตั้ง สำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยไปตั้งอยู่ ณ สถานที่แห่งอื่น ก็ต้องถือว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ถิ่นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ตามที่ได้จดทะเบียนไว้ การที่โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย ณ ถิ่นที่ตั้ง สำนักงานแห่งใหญ่ จึงเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลย มิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามที่กฎหมายบังคับไว้ ต้องถือว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดเว้นภาษีโรงเรือนสำหรับโรงเรือนที่ใช้ในอุตสาหกรรมและสำนักงาน: กรณีที่ไม่เข้าเกณฑ์การ 'อยู่เอง' หรือ 'ให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา'
บริษัทโจทก์ประกอบอุตสาหกรรมผลิตปูนซิเมนต์ ใช้ท่าเทียบเรือเพื่อยกปูนซิเมนต์ขึ้นบรรทุกรถยนต์นำไปเก็บไว้ในโรงเก็บสินค้า ใช้อาคารสำนักงานให้พนักงานทำงานด้านธุรการ ไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ผลิตปูนซิเมนต์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์อยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา จึงไม่ได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตาม พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ มาตรา10

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดเว้นภาษีโรงเรือนสำหรับอาคารที่เจ้าของใช้เองเป็นสำนักงานและไม่ได้ใช้ในเชิงพาณิชย์
โจทก์เป็นบริษัทจำกัด การที่โจทก์ใช้อาคารของโจทก์เองเป็นที่ทำการหรือสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์โดยมิได้ใช้แสวงหาผลประโยชน์ตอบแทนโดยตรงด้วยนั้น เป็นการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเข้าอยู่เองตามความหมายของมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3 เมื่อมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ย่อมได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน
การที่โจทก์ฟ้องขอคืนเงินภาษีส่วนที่โจทก์จำต้องชำระเกินไป และศาลพิพากษาให้คืนนั้น เท่ากับตัดสินให้ลดค่าภาษีแก่โจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ย หากคืนเงินส่วนลดนี้ให้โจทก์ภายในสามเดือนตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 39วรรคสองแต่ถ้าไม่คืนภายในกำหนดดังกล่าวก็ต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินไว้ และจำเลยยกปัญหานี้ขึ้นกล่าวชั้นฎีกาได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเว้นภาษีโรงเรือนสำหรับสมาคมที่ใช้พื้นที่เป็นสำนักงานและไม่ได้ประกอบการค้า
สมาคมพาณิชย์อินเดียหรือหอการค้าอินเดีย โจทก์เป็นนิติบุคคล แม้การเข้าอยู่ในโรงเรือนของนิติบุคคลไม่อาจพึงเป็นได้เช่นบุคคลธรรมดา แต่การที่โจทก์มีคณะกรรมการบริหารดำเนินกิจการแทน และโจทก์ได้ใช้โรงเรือนเป็นสำนักงานและให้คนเฝ้ารักษา ย่อมอยู่ในความหมายของคำว่า เจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนเฝ้ารักษาตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2475 มาตรา 3 แล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ได้ใช้โรงเรือนดังกล่าวขายอาหาร เครื่องดื่ม แก่สมาชิก และมีโต๊ะบิลเลียดให้สมาชิกเล่นนั้น ก็ปรากฏว่ามีระเบียบห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปเล่น และที่ว่าโจทก์ได้ให้เช่าสนามเล่นแบดมินตันด้วย ก็ยังฟังแน่นอนไม่ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวหาพอที่จะถือว่าโรงเรือนใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้โรงเรือนของนิติบุคคลเป็นสำนักงานและสถานที่ส่วนตัว ไม่ถือเป็นที่ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม จึงได้รับการยกเว้นภาษีโรงเรือน
สมาคมพาณิชย์อินเดียหรือหอการค้าอินเดีย โจทก์ เป็นนิติบุคคลแม้การเข้าอยู่ในโรงเรือนของนิติบุคคลไม่อาจพึงเป็นได้เช่นบุคคลธรรมดาแต่การที่โจทก์มีคณะกรรมการบริหารดำเนินกิจการแทน และโจทก์ได้ใช้โรงเรือนเป็นสำนักงานและให้คนเฝ้ารักษาย่อมอยู่ในความหมายของคำว่า เจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนเฝ้ารักษา ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2475 มาตรา 3 แล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ได้ใช้โรงเรือนดังกล่าวขายอาหาร เครื่องดื่ม แก่สมาชิก และมีโต๊ะบิลเลียดให้สมาชิกเล่นนั้น ก็ปรากฏว่ามีระเบียบห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปเล่น และที่ว่าโจทก์ได้ให้เช่าสนามเล่นแบดมินตันด้วย ก็ยังฟังแน่นอนไม่ได้พฤติการณ์ดังกล่าวหาพอที่จะถือว่าโรงเรือนใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรมตามมาตรา 10 แห่ง พระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536-537/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงจัดหางาน: สำนักงานส่งเสริมอาชีพเข้าข่ายสำนักงานจัดหางานต้องขออนุญาต
สำนักงานของจำเลยรับจัดหางานให้แก่ผู้มาสมัครเข้ารับการอบรมวิชาชีพโดยรับจะฝากเข้าทำงานในสำนักงาน องค์การหรือห้างร้านบริษัทต่าง ๆ การกระทำเช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่า เป็นคนกลางระหว่างนายจ้างผู้ต้องการลูกจ้างผู้ต้องการหางานทำโดยคนกลางจะทำให้เปล่าหรือคิดสินจ้างก็ตาม หรือแม้จำเลยจะตั้งสำนักงานนี้เพี้ยนไปว่า สำนักงานส่งเสริมอาชีพ ก็ตาม หรือแม้ถึงว่าจำเลยจะอ้างว่าสำนักงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทจำกัด สำนักงานนี้ก็คงเป็นสำนักงานจัดหางาน ตามความหมายใน มาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วย สำนักงานจัดหางาน พ.ศ. 2475
จำเลยวางแผนหลอกลวงเพื่อฉ้อโกงเอาเงินประชาชนทั่ว ๆ ไป โดยพิมพ์ใบปลิวโฆษณาข้อความอันเป็นเท็จให้ประชาชนหลงเชื่อเพื่อมาสมัครรับการอบรมวิชาชีพ โดยทุกคนต้องส่งมอบเงินให้แก่จำเลยด้วย เมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสมัคร จำเลยก็ให้ส่งมอบเงินให้แก่จำเลย แล้วจำเลยก็หาได้ทำการอบรมเป็นกิจลักษณะอย่างใดไม่ จนเป็นที่เห็นว่าผู้สมัครเหล่านั้น จะไม่ได้งานทำตามที่จำเลยโฆษณาไว้ให้หลงเชื่อ ครั้นขอเงินคืน จำเลยก็ไม่มีเงินจะคืนให้ การกระทำของจำเลยก็ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดยื่นคำให้การของนิติบุคคล: การแจ้งปิดหมายที่สำนักงานถือว่าจำเลยทราบแล้ว
จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสำนักงานอยู่แน่นอน เจ้าพนักงานศาลได้ปิดหมายชัดเรียกและสำเนาฟ้องที่สำนักงานของจำเลยจนครบ 23 วัน ดังนี้ถือว่าจำเลยทราบนัดเมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและศาลเห็นว่าการขาดนัดของจำเลยในกรณีนี้ ไม่มีเหตุอันสมควรแล้วศาลก็ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.199 วรรค 2 โดยมิต้องรอไต่สวนตาม ม.198 วรรค 3 ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2497

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปิดหมายเรียกที่สำนักงานนิติบุคคลถือว่าจำเลยทราบแล้ว แม้ไม่มีการไต่สวนเหตุขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสำนักงานอยู่แน่นอน เจ้าพนักงานศาลได้ปิดหมายเรียกและสำเนาฟ้องที่สำนักงานของจำเลยจนครบ 23 วัน ดังนี้ถือว่าจำเลยทราบนัด เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และศาลเห็นว่าการขาดนัดของจำเลยในกรณีนี้ไม่มีเหตุอันสมควรแล้ว ศาลก็ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง โดยมิต้องรอไต่สวนตาม มาตรา 198 วรรคสาม ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าเพื่อใช้เป็นสำนักงานไม่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
บริษัทจำกัดเป็นผู้เช่าเคหะเพื่อใช้เป็นสำนักงานประกอบการค้า แม้จะมีผู้จัดการอยู่ในที่เช่าก็ดี พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ก็ไม่คุ้มครอง เพราะไม่ได้เช่าเป็นที่อยู่อาศัยตามความหมายแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าเพื่อใช้เป็นสำนักงานไม่คุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
บริษัทจำกัดเป็นผู้เช่าเคหะเพื่อใช้เป็นสำนักงานประกอบการค้าแม้จะมีผู้จัดการอยู่ในที่เช่าก็ดีพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ก็ไม่คุ้มครองเพราะไม่ได้เช่าเป็นที่อยู่อาศัยตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
of 4