พบผลลัพธ์ทั้งหมด 104 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2709/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีโฆษณาคำพิพากษา: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ที่อ้างขัดข้องไม่ถือเป็นการพ้นวิสัย
ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจัดให้มีการโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวันดังนั้นการที่จำเลยทั้งสี่ได้ย่อคำพิพากษาโดยย่อคำฟ้องได้ใจความถูกต้องตรงกับคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองและมีข้อความระบุว่าศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องตลอดจนบทลงโทษและโทษคนละเท่าใดตรงตามเนื้อความในต้นฉบับคำพิพากษาแล้วเมื่อผู้อ่านอ่านแล้วจะเข้าใจได้ทันทีถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ปฏิบัติถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว ที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ไม่สามารถจะโฆษณาคำพิพากษาได้เนื่องจากมีการลดหน้าหนังสือพิมพ์ลงประกอบกับใกล้สิ้นปีมีโฆษณามากย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าถ้าพ้นสิ้นปีไปแล้วหนังสือพิมพ์ดังกล่าวก็สามารถจะโฆษณาคำพิพากษาให้ได้จึงไม่เป็นการพ้นวิสัยส่วนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐไม่สามารถจะโฆษณาคำพิพากษาได้เนื่องจากเนื้อที่ในการลงโฆษณาได้เปิดจำหน่ายล่วงหน้าไปจนถึง>ปีหน้าจำเลยทั้งสี่ย่อมจองสิทธิลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวต่อจากผู้ลงโฆษณาล่วงหน้าคนสุดท้ายได้ดังนั้นการโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐจึงยังอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ประกอบกับคำพิพากษามิได้บังคับว่าจะต้องจัดให้มีการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับดังกล่าวข้างต้นเมื่อใดดังนั้นการลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับดังกล่าวยังไม่เป็นการพ้นวิสัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9018/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลและความผิดเกี่ยวพัน: คดีหมิ่นประมาทจากหนังสือพิมพ์
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยถ้อยคำซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และจำเลยที่ 2 บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งได้ลงข้อความที่จำเลยที่ 1 ให้สัมภาษณ์ดังกล่าว อันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ ถือว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วย จึงเป็นความผิดเกี่ยวพันกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 24 (2) แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงเทพมหานคร แต่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นได้ออกวางจำหน่ายทั่วราชอาณาจักร ซึ่งรวมทั้งจังหวัดปทุมธานี อันถือว่าความผิดได้เกิดในจังหวัดปทุมธานีด้วย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลจังหวัดปทุมธานีได้ ตามป.วิ.อ. มาตรา 22 และมาตรา 24 ศาลจังหวัดปทุมธานีมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้ แม้ต่อมาโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ก็หามีผลทำให้ศาลจังหวัดปทุมธานีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9018/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: คดีหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ ความผิดเกิดที่ไหนฟ้องได้ที่นั่น แม้ถอนฟ้องจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องจำเลยที่1ผู้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยถ้อยคำซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และจำเลยที่2บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งได้ลงข้อความที่จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์ดังกล่าวอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ถือว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่2ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยจึงเป็นความผิดเกี่ยวพันกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา24(2)แม้ว่าจำเลยที่1จะให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงเทพมหานครแต่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นได้ออกวางจำหน่ายทั่วราชอาณาจักรซึ่งรวมทั้งจังหวัดประทุมอันถือว่าความผิดได้เกิดในจังหวัดปทุมธานีด้วยโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่1และที่2ต่อศาลจังหวัดปทุมธานีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา22และมาตรา24ศาลจังหวัดปทุมธานีมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้แม้ต่อมาโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยที่2ก็หามีผลทำให้ศาลจังหวัดปทุมธานีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6661/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การใส่ความทำให้เสียชื่อเสียง
ข่าวในหนังสือพิมพ์มีข้อความว่า "กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.นสพ. ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค"มีความหมายว่า โจทก์ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยถูกศาลพิพากษาจำคุกเพราะเป็นคนไม่ตรง คดโกงออกเช็คโดยคดโกง มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาทจากข่าวหนังสือพิมพ์: การพิสูจน์ความเสียหาย, ผู้เสียหาย, และขอบเขตความรับผิดของกรรมการ/ผู้บริหาร
หัวข้อข่าวที่ว่า แอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์เจ้าของร้านฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้าน หมายถึงแอมบาสเดอร์ไม่จ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์ เพราะไม่ซื่อตรงหรือโกง เจ้าของร้านฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้านบาท และหัวข้อข่าวดังกล่าวเป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์เอง ประกอบกับข้อความในเนื้อข่าวเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ทั้งปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 เคยให้จำเลยที่ 1 ลงโฆษณา ต่อมาโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 ยกเลิก จำเลยที่ 1 ได้ลงข่าวเกี่ยวกับฝ่ายโจทก์ในทางเสียหายตลอดมา ก่อนคดีนี้โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 เคยฟ้องจำเลย-ทั้งห้าในความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว 3 คดี ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าการลงข่าวดังกล่าวเป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม ป.อ.มาตรา 329 (4)
จำเลยลงข่าวในหนังสือพิมพ์แนวหน้าตามฟ้องหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยในเนื้อข่าวระบุชื่อโจทก์ที่ 3 ว่าเป็นกรรมการของโจทก์ที่ 1และที่ 2 นอกจากจะเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แล้ว ยังเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 3 ผู้ถูกระบุชื่อว่าเป็นกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนดำเนินหรือปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โจทก์ที่ 3 จึงเป็นผู้เสียหายด้วย
จำเลยที่ 3 เป็นผู้อำนวยการรับผิดชอบภาคปฏิบัติการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการตลาดและมีอำนาจสั่งการเกี่ยวกับนโยบายของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 5 เป็นกรรมการเป็นผู้จัดการทั่วไปของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ให้นโยบายในการบริหารของจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้คัดเลือกหรือสั่งให้ลงพิมพ์หัวข้อข่าวและเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ ที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 มีอำนาจในการให้นโยบายในการบริหารก็เป็นการบริหารของบริษัทจำเลยที่ 1 โดยทั่ว ๆไปไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 3 และที่ 5 ให้นโยบายว่า จะเสนอข่าวเกี่ยวกับหัวข้อข่าว และเนื้อข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 5 ได้ร่วมกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยลงข่าวในหนังสือพิมพ์แนวหน้าตามฟ้องหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยในเนื้อข่าวระบุชื่อโจทก์ที่ 3 ว่าเป็นกรรมการของโจทก์ที่ 1และที่ 2 นอกจากจะเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แล้ว ยังเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 3 ผู้ถูกระบุชื่อว่าเป็นกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนดำเนินหรือปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โจทก์ที่ 3 จึงเป็นผู้เสียหายด้วย
จำเลยที่ 3 เป็นผู้อำนวยการรับผิดชอบภาคปฏิบัติการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการตลาดและมีอำนาจสั่งการเกี่ยวกับนโยบายของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 5 เป็นกรรมการเป็นผู้จัดการทั่วไปของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ให้นโยบายในการบริหารของจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้คัดเลือกหรือสั่งให้ลงพิมพ์หัวข้อข่าวและเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ ที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 มีอำนาจในการให้นโยบายในการบริหารก็เป็นการบริหารของบริษัทจำเลยที่ 1 โดยทั่ว ๆไปไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 3 และที่ 5 ให้นโยบายว่า จะเสนอข่าวเกี่ยวกับหัวข้อข่าว และเนื้อข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 5 ได้ร่วมกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: จำเลยต้องมีความเกี่ยวข้องกับการลงข่าวใส่ความโจทก์
คำว่าเบี้ยวมีความหมายพิเศษเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า หมายถึงไม่ซื่อตรงหรือโกงการแปลหัวข้อข่าวที่ว่าแอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์ หมายถึงแอมบาสเดอร์ไม่จ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์เพราะไม่ซื่อตรงหรือโกง จึงไม่เป็นการแปลความหมายผิดไปจากเจตนารมณ์หรือความหมายหัวข้อข่าวที่ว่า"แอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์ เจ้าของฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้าน" ประกอบกับข้อความในเนื้อข่าวตามฟ้อง เป็นการใส่ความโจทก์ทั้งสาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสามเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยลักษณะของการกระทำ อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยได้เองโดยพิเคราะห์จากข้อความเหล่านั้นว่ามีอย่างไร หัวข้อข่าวที่ว่าแอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์เป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์เอง ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ทั้งสามไม่ซื่อตรงหรือโกงซึ่งไม่ตรงกับความจริง เมื่อจำเลยลงข่าวแสดงความเห็นเสียเอง จึงเป็นการใส่ความโจทก์ทั้งสามในประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสามเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท และการลงข่าวเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(4) ข้อความที่ลงในหนังสือพิมพ์ตามฟ้องนั้น เมื่ออ่านประกอบกันทั้งหมดหมายถึงว่าแอมบาสเดอร์ไม่จ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์เพราะไม่ซื่อตรงหรือโกงคำว่าแอมบาสเดอร์เป็นถ้อยคำที่ละม้ายคล้ายคลึงกับคำว่าแอมบาสเดอร์ซึ่งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ใช้ในการดำเนินธุรกิจโรงแรมอยู่แล้ว ในเนื้อข่าวยังได้ระบุชื่อโจทก์ที่ 3 ว่าเป็นกรรมการซึ่งโจทก์ที่ 3 ก็เป็นกรรมการของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 และประกอบธุรกิจอยู่ ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ย่อมรู้ได้ว่าแอมบาสเดอร์ตามหัวข้อข่าวหมายถึงแอมบาสเดอร์ อันเป็นชื่อที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ใช้ในธุรกิจโรงแรมนั้นเอง ย่อมทำให้โจทก์ทั้งสามขาดความเชื่อถือเนื่องจากไม่ซื่อตรงหรือโกงตามที่ลงข่าวเมื่อข้อความที่ลงในหนังสือพิมพ์ตามฟ้องหมายถึงชื่อของโจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสาม บริษัทโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นนิติบุคคลเป็นเพียงบุคคลสมมติโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายเท่านั้น ดำเนินหรือปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วยตนเองไม่ได้ ต้องกระทำโดยผู้แทน โจทก์ที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทโจทก์ที่ 1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าฝ่ายจำเลยลงข่าวในหนังสือพิมพ์ตามฟ้องหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยในเนื้อข่าวระบุชื่อโจทก์ที่ 3 ว่าเป็นกรรมการของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 นอกจากจะเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 1และที่ 2 แล้ว ยังเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 3 ผู้ถูกระบุชื่อว่าเป็นกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนดำเนินหรือปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วย โจทก์ทั้งสามจึงเป็นผู้เสียหาย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันเขียนและโฆษณาข้อความลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 1 ใส่ความโจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 5ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์และมิได้ยอมรับว่าเป็นผู้ให้ข่าวหรือได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ลงข่าวใส่ความโจทก์โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ โดยนำข้อเท็จจริงมาสู่ศาลเพื่อให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 5 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ประจักษ์ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 5 ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 อย่างไร และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 5 ให้นโยบายว่าจะเสนอข่าวเกี่ยวกับหัวข้อข่าวและเนื้อข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ตามฟ้องแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3และที่ 5 ได้ร่วมกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การพิจารณาความผิดของจำเลยแต่ละคน, เจตนา, และขอบเขตความรับผิดชอบ
หัวข้อข่าวที่ว่า แอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์เจ้าของร้านฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้าน หมายถึงแอมบาสเดอร์ไม่จ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์ เพราะไม่ซื่อตรงหรือโกง เจ้าของร้านฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้านบาท และหัวข้อข่าวดังกล่าวเป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์เอง ประกอบกับข้อความในเนื้อข่าวเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ทั้งปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3เคยให้จำเลยที่ 1 ลงโฆษณา ต่อมาโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 ยกเลิกจำเลยที่ 1 ได้ลงข่าวเกี่ยวกับฝ่ายโจทก์ในทางเสียหายตลอดมาก่อนคดีนี้โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 เคยฟ้องจำเลยทั้งห้าในความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว 3 คดี ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าการลงข่าวดังกล่าวเป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(4) จำเลยลงข่าวในหนังสือพิมพ์แนวหน้าตามฟ้องหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยในเนื้อข่าวระบุชื่อโจทก์ที่ 3 ว่าเป็นกรรมการของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 นอกจากจะเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แล้ว ยังเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ 3 ผู้ถูกระบุชื่อว่าเป็นกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนดำเนินหรือปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โจทก์ที่ 3 จึงเป็นผู้เสียหายด้วย จำเลยที่ 3 เป็นผู้อำนวยการรับผิดชอบภาคปฏิบัติการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการตลาดและมีอำนาจสั่งการเกี่ยวกับนโยบายของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5 เป็นกรรมการเป็นผู้จัดการทั่วไปของจำเลยที่ 1มีหน้าที่ให้นโยบายในการบริหารของจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3เป็นผู้คัดเลือกหรือสั่งให้ลงพิมพ์หัวข้อข่าวและเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ ที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 มีอำนาจในการให้นโยบายในการบริหารก็เป็นการบริหารของบริษัทจำเลยที่ 1 โดยทั่ว ๆ ไปไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 และที่ 5 ให้นโยบายว่า จะเสนอข่าวเกี่ยวกับหัวข้อข่าวและเนื้อข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3และที่ 5 ได้ร่วมกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: โจทก์ต้องพิสูจน์การกระทำความผิดของจำเลย หากไม่สืบพยาน ศาลไม่สามารถรับฟังได้
จำเลยที่ 1 แถลงรับแต่เพียงว่าได้มีการลงข้อความประกาศโฆษณาตามที่โจทก์อ้างในฟ้องในหนังสือพิมพ์จริงเท่านั้น มิได้ยอมรับว่าเป็นผู้ให้ข่าวนั้นแก่หนังสือพิมพ์ หรือได้ร่วมกับจำเลยที่ 2และที่ 3 ลงข่าวดังกล่าวเพื่อใส่ความโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ใส่ความโจทก์และจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ โจทก์มีหน้าที่จะต้องนำสืบพิสูจน์และนำข้อเท็จจริงมาสู่ศาลเพื่อให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: โจทก์ต้องพิสูจน์การกระทำผิดของจำเลย แม้จำเลยรับว่ามีการลงข้อความ
จำเลยที่ 1 แถลงรับแต่เพียงว่าได้มีการลงข้อความประกาศโฆษณาตามที่โจทก์อ้างในฟ้องในหนังสือพิมพ์จริงเท่านั้น มิได้ยอมรับว่าเป็นผู้ให้ข่าวนั้นแก่หนังสือพิมพ์ หรือได้ร่วมกับจำเลยที่ 2และที่ 3 ลงข่าวดังกล่าวเพื่อใส่ความโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ใส่ความโจทก์และจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ โจทก์มีหน้าที่จะต้องนำสืบพิสูจน์และนำข้อเท็จจริงมาสู่ศาลเพื่อให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ การพิสูจน์ความเสียหาย และการกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสม
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อ เสียงของโจทก์ทั้งด้านการเมืองและด้านการประกอบอาชีพ โดยบรรยายถึงตำแหน่งทางการเมืองของโจทก์และอาชีพคือแพทย์ด้วยเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อ เสียงทั้งสองด้าน แม้โจทก์จะไม่ได้แยกค่าเสียหายที่ขอว่าจำนวนใดเป็นของด้านใด ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งไม่เป็นความจริงที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงคมนาคมกลั่นแกล้งบริษัท บ. มิใช่การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต หรือติ ชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของบุคคลในฐานะเยี่ยงจำเลยพึงกระทำ แต่เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตาม ป.พ.พ.มาตรา 423.