คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ห้ามอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 84 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4137/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเป็นที่สุด ห้ามอุทธรณ์ฎีกา แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องกระบวนการ
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482มาตรา 58 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลชั้นต้นเมื่อได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือผู้ได้รับเลือกตั้งที่มีส่วนได้เสียมีโอกาสต่อสู้การคัดค้านนั้น เมื่อศาลสั่งอย่างใดให้แจ้งคำสั่งไปยังเทศบาลโดยมิชักช้า คำสั่งศาลนั้นให้เป็นที่สุด ซึ่งหมายความว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างไรเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นที่สุด คู่ความไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้ สาระสำคัญในการไต่สวนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 อยู่ที่คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลว่าผู้คัดค้านเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 58 วรรคหนึ่งบัญญัติให้คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวให้เป็นที่สุดคู่ความทุกฝ่ายจึงไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8399/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาลแขวง การใช้บทบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง และการห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้เหตุเกิดที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีอันเป็นศาลชั้นต้น และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนและวันเปิดทำการของศาลแขวงในบางจังหวัด พ.ศ. 2500 มาตรา 18 บัญญัติว่า"ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีให้มีศาลแขวงหนึ่งศาล มีเขตอำนาจในอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี" ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสุราษฎร์ธานีอีกหลายฉบับซึ่งได้กำหนดให้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีมีเขตอำนาจในอำเภออื่นนอกจากอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีมีเขตอำนาจในอำเภอเกาะสมุยด้วย ดังนี้บทบัญญัติมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาใช้บังคับแก่คดีนี้มิได้และจะนำบทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากมาตรา 2แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า "พระราชบัญญัติให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา 3 จะใช้บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ใดเมื่อใด ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา" สำหรับจังหวัดสุราษฎร์ธานีท้องที่ซึ่งยังมิได้มีศาลแขวงเปิดทำการและมีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 ดังกล่าวบังคับคงมีเฉพาะท้องที่อำเภอไชยาอำเภอท่าฉางและอำเภอท่าชนะเท่านั้น จึงนำบทบัญญัติมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499ที่ห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้ เมื่อยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 ใช้บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่อำเภอเกาะสมุย ได้ และมีปัญหาว่าคดีของโจทก์นี้จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่จึงต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1679/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำให้การและการห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่1เมื่อวันที่27เมษายน2537จำเลยที่1อุทธรณ์คำสั่งในวันที่17มิถุนายน2537แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์เนื่องจากมิได้อุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกรณีจึงต้องถือว่าจำเลยที่1ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การของจำเลยที่1ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา228วรรคสองแล้วฉะนั้นจำเลยที่1จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งเดียวกันภายหลังศาลชั้นต้นพิพากษาคดีตามวรรคท้ายแห่งมาตราดังกล่าวไว้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7098/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไม่อนุญาตยื่นคำให้การเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ห้ามอุทธรณ์ระหว่างพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การอ้างว่า จำเลยเข้าใจผิดว่าเจ้าหน้าที่ศาลปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแทนการวางหมายแก่จำเลย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องและไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสองจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(1) ไม่ใช่คำสั่งที่ไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5566/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกปัญหาฟ้องเคลือบคลุมเกินกว่ากรอบการต่อสู้ในชั้นศาล และการห้ามอุทธรณ์ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การและยกขึ้นอุทธรณ์แล้วแต่เมื่อผู้ร้องสอดมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นผู้ร้องสอดก็ไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ได้เพราะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นผู้ร้องสอดจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และเมื่อผู้ร้องสอดฎีกาปัญหานี้อีกจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5495/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณทุนทรัพย์ในคดีแพ่ง: สัญญาเล่นแชร์หลายวงแยกฟ้องได้, ทุนทรัพย์แต่ละวงต่ำกว่า 50,000 บาท ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์นั้นต้องแยกคำนวณตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามข้อหาของการผิดสัญญาโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดจากสัญญาเล่นแชร์2วงแต่ละวงมีรายละเอียดข้อสัญญาต่างกันการผิดสัญญาวงหนึ่งวงใดไม่เป็นเหตุให้ผิดสัญญาอีกวงหนึ่งด้วยโจทก์จึงสามารถแยกฟ้องจำเลยที่1ได้ตามข้อหาของการผิดสัญญาเป็นสองคดีเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันสำหรับการเล่นแชร์แต่ละวงมีจำนวนไม่เกิน50,000บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5495/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณทุนทรัพย์พิพาทในคดีสัญญาเล่นแชร์แยกวง ศาลต้องแยกคำนวณตามแต่ละวง หากไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์นั้นต้องแยกคำนวณตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามข้อหาของการผิดสัญญาโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดจากสัญญาเล่นแชร์2วงแต่ละวงมีรายละเอียดข้อสัญญาต่างกันการผิดสัญญาวงหนึ่งวงใดไม่เป็นเหตุให้ผิดสัญญาอีกวงหนึ่งด้วยโจทก์จึงสามารถแยกฟ้องจำเลยที่1ได้ตามข้อหาของการผิดสัญญาเป็นสองคดีเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันสำหรับการเล่นแชร์แต่ละวงมีจำนวนไม่เกิน50,000บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุนทรัพย์ค่าเสียหายในอนาคตไม่นำมาคำนวณในชั้นอุทธรณ์ ทำให้คดีนั้นห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมาย
ค่าเสียหายปีละ40,000บาทที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์นับแต่วันหลังจากวันฟ้องนั้นเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำไปรวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค1พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งอุทธรณ์ทั้งคดีส่วนฟ้องของโจทก์และคดีส่วนฟ้องแย้งของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ฎีกาจำเลยจึงมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยอย่างละ200บาทรวมเป็น400บาทจำเลยเสียเกินมาศาลฎีกาสั่งให้คืนส่วนที่เสียเกินมาแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3027/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม - กรรมการลูกจ้าง - อุทธรณ์นอกประเด็น - ห้ามอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเท่าใดกำหนดจ่ายค่าจ้างเมื่อใดสหภาพแรงงานแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเมื่อใดรวมทั้งวันที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ขออนุญาตต่อศาลแรงงานซึ่งไม่เป็นการเลิกจ้างตามกฎหมายขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวและรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมพร้อมทั้งจ่ายค่าจ้างและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วโดยไม่จำต้องบรรยายว่ากรรมการลูกจ้างที่สหภาพแรงงานแต่งตั้งมีจำนวนกี่คนเป็นบุคคลใดบ้างและตำแหน่งกรรมการลูกจ้างที่ว่างลง2คนนั้นคือใครตำแหน่งว่างเพราะเหตุใดสหภาพแรงงานมีจำนวนสมาชิกที่เป็นลูกจ้างจำเลยจำนวนเท่าใดมากพอเท่ากับที่กฎหมายกำหนดไว้ในการที่จะมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างหรือไม่เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่กรรมการลูกจ้างเพราะสหภาพแรงงานผู้แต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างมีสมาชิกไม่ถึงจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิในการแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างได้แต่จำเลยกลับอุทธรณ์ว่าการแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเพิ่มแทนตำแหน่งที่ว่างไม่ชอบเพราะสมาชิกที่สมัครก่อนถึงวันประชุมใหญ่ของสหภาพแรงงานยังไม่มีฐานะเป็นสมาชิกและไม่มีสิทธิแต่งตั้งกรรมการสหภาพแรงงานกรรมการสหภาพแรงงานที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นกรรมการโดยไม่ชอบไม่มีสิทธิแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเพิ่มแทนตำแหน่งที่ว่างโจทก์จึงเป็นกรรมการลูกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นคนละเหตุกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การห้ามอุทธรณ์ประเด็นใหม่ & การชั่งน้ำหนักพยาน
แม้จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แต่ประเด็นที่จำเลยที่ 2 กล่าวในอุทธรณ์ไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้ ปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
การวินิจฉัยพยานหลักฐานในทางแพ่งเป็นการชั่งน้ำหนักพยานทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายใดมีนำหนักให้เชื่อฟังมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงชี้ขาดให้ฝ่ายนั้นชนะคดี โจทก์มี ด.เจ้าหน้าที่ของโจทก์มาเบิกความเป็นพยานประกอบเอกสารได้ความสอดคล้องตรงกันแม้โจทก์ไม่ได้ตัวลูกค้าของโจทก์มาเบิกความเป็นพยาน ก็มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าฝ่ายจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีพยานมานำสืบแต่ประการใดเลย
of 9