พบผลลัพธ์ทั้งหมด 116 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส พยานหลักฐานสนับสนุนการกระทำผิด
ผู้เสียหายถูกทำร้ายอยู่เป็นเวลาประมาณ5ถึง10นาทีผู้เสียหายรู้จักจำเลยทั้งสามและพวกมาก่อนในบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าสว่างผู้เสียหายย่อมจะเห็นคนร้ายได้ชัดเจนผู้เสียหายมีบาดแผลที่ศีรษะไหล่และที่หลังตรงตามที่ผู้เสียหายเบิกความว่าถูกฟันส่วนน. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งแม้ไม่ได้เบิกความว่าจำเลยคนใดมีอาวุธแต่ก็ยังยืนยันว่าจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายและตามคำให้การชั้นสอบสวนจำเลยที่1รับว่าใช้มีดฟันผู้เสียหายส่วนจำเลยที่2รับว่าเข้าไปชกผู้เสียหายนอกจากนี้มารดาจำเลยที่1และบิดาจำเลยที่2และที่3ทำบันทึกตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายโดยรับว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10189/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส: เจตนาและเหตุบันดาลโทสะ
จำเลยใช้มีดดาบตัวมีดยาวประมาณ ๑๘ นิ้ว ด้ามมีดยาวประมาณ๑๓ นิ้ว เป็นอาวุธฟันโจทก์ร่วมที่ใบหน้าซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และโจทก์ร่วมมีบาดแผลลึกถึงกระดูก แต่บริเวณใบหน้ามิใช่ส่วนหนาของร่างกายและไม่ปรากฏว่ากระดูกบริเวณดังกล่าวของโจทก์ร่วมแตกหรือร้าวแต่อย่างใด แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันโจทก์ร่วมโดยแรง และการที่จำเลยเข้ามาฟันโจทก์ร่วมด้วยอารมณ์โกรธในครั้งแรกอย่างรวดเร็วเช่นนั้น หากจำเลยมีเจตนาฆ่าคงฟันโจทก์ร่วมแรงกว่านั้นหรือใช้มีดดาบแทงที่หน้าตาของโจทก์ร่วม มิใช่เงื้อมีดจะฟันโจทก์ร่วมอีก จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม จำเลยคงมีเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ร่วมต้องเข้ารักษาตัวโดยนอนที่โรงพยาบาล ๗ วัน หลังจากนั้นได้มารักษาตัวที่บ้านต่อเป็นเวลาอีก ๒ เดือน ขณะที่มาอยู่ที่บ้าน ๒ เดือนนี้ โจทก์ร่วมมีอาการไม่ปกติเนื่องจากเจ็บปาก เมื่อเคี้ยวอาหารจะรู้สึกเจ็บ ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ.มาตรา ๒๙๗
การที่ จ.นักร้องสาวที่จำเลยชอบพอติดพันอยู่ลุกจากโต๊ะจำเลยไปบริการโจทก์ร่วม เมื่อ จ.กลับมาที่โต๊ะจำเลย ก็มีพนักงานบริการมาตามให้ไปที่โต๊ะโจทก์ร่วมอีกนั้น ไม่ใช่เหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่าถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมเพราะเกิดจากอารมณ์ของจำเลยเองมิใช่มีผู้ใดก่อ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้เข้าทำร้ายจำเลยก่อน หรือด่าว่าดูถูกเหยียดหยามจำเลยอย่างรุนแรงแต่อย่างใด หากจำเลยไม่ใส่ใจ จ.ที่ลุกไปลุกมาที่โต๊ะจำเลยกับโต๊ะโจทก์ร่วม จำเลยก็ไม่เสียอารมณ์เอง ดังนี้ การที่จำเลยใช้มีดฟันโจทก์ร่วมเพราะเหตุดังกล่าว จำเลยจะอ้างว่าบันดาลโทสะถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมมิได้
การที่ จ.นักร้องสาวที่จำเลยชอบพอติดพันอยู่ลุกจากโต๊ะจำเลยไปบริการโจทก์ร่วม เมื่อ จ.กลับมาที่โต๊ะจำเลย ก็มีพนักงานบริการมาตามให้ไปที่โต๊ะโจทก์ร่วมอีกนั้น ไม่ใช่เหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่าถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมเพราะเกิดจากอารมณ์ของจำเลยเองมิใช่มีผู้ใดก่อ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้เข้าทำร้ายจำเลยก่อน หรือด่าว่าดูถูกเหยียดหยามจำเลยอย่างรุนแรงแต่อย่างใด หากจำเลยไม่ใส่ใจ จ.ที่ลุกไปลุกมาที่โต๊ะจำเลยกับโต๊ะโจทก์ร่วม จำเลยก็ไม่เสียอารมณ์เอง ดังนี้ การที่จำเลยใช้มีดฟันโจทก์ร่วมเพราะเหตุดังกล่าว จำเลยจะอ้างว่าบันดาลโทสะถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10189/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส: การพิจารณาเจตนา ความบันดาลโทสะ และเหตุผลในการลดโทษ
จำเลยใช้มีดดาบตัวมีดยาวประมาณ18นิ้วด้ามมีดยาวประมาณ13นิ้วเป็นอาวุธฟังโจทก์ร่วมที่ใบหน้าซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและโจทก์ร่วมมีบาดแผลลึกถึงกระดูกแต่บริเวณใบหน้ามิใช่ส่วนหนาของร่างกายและไม่ปรากฎว่ากระดูกบริเวณดังกล่าวของโจทก์ร่วมแตกหรือร้าวแต่อย่างใดแสดงว่าจำเลยมิได้ใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันโจทก์ร่วมโดยแรงและการที่จำเลยเข้ามาฟันโจทก์ร่วมด้วยอารมณ์โกรธในครั้งแรกอย่างรวดเร็วเช่นนั้นหากจำเลยมีเจตนาฆ่าคงฟังโจทก์ร่วมแรงกว่านั้นหรือใช้มีดดาบแทงที่หน้าตาของโจทก์ร่วมมิใช่เงื้อมีดจะฟันโจทก์ร่วมอีกจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมจำเลยคงมีเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเท่านั้นเมื่อปรากฎว่าโจทก์ร่วมต้องเข้ารักษาตัวโดยนอนมีโรงพยาบาล7วันหลังจากนั้นได้มารักษาตัวที่บ้านต่อเป็นเวลาอีก2เดือนขณะที่มาอยู่ที่บ้าน2เดือนนี้โจทก์ร่วมมีอาการไม่ปกติเนื่องจากเจ็บปากเมื่อเคี้ยวอาหารจะรู้สึกเจ็บดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็ดด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า20วันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297 การที่จ.นักร้องสาวที่จำเลยชอบพอติดพันอยู่ลุกจากโต๊ะจำเลยไปบริการโจทก์ร่วมเมื่อจ.กลับมาที่โต๊ะจำเลยก็มีพนักงานบริการมาตามให้ไปที่โต๊ะโจทก์ร่วมอีกนั้นไม่ใช่เหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่าถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมเพราะเกิดจากอารมณ์ของจำเลยเองมิใช่มีผู้ใดก่อทั้งไม่ปรากฎว่าโจทก์ร่วมได้เข้าทำร้ายจำเลยก่อนหรือด่าว่าดูถูกเหยียดหยามจำเลยอย่างรุนแรงแต่อย่างใดหากจำเลยไม่ใส่ใจจ.ที่ลุกไปลุกมาที่โต๊ะจำเลยกับโต๊ะโจทก์ร่วมจำเลยก็ไม่เสียอารมณ์เองดังนี้การที่จำเลยใช้มีดฟันโจทก์ร่วมเพราะเหตุดังกล่าวจำเลยจะอ้างว่าบันดาลโทสะถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7987/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และหลบหนีไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปโดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บตามสมควรทั้งไม่ได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีก็ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฎว่าการที่จำเลยหลบหนีไม่ทำการช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา160วรรคสองคงเป็นความผิดตามมาตรา160วรรคหนึ่งเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3614/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ศาลพิจารณาเหตุทำร้ายและส่วนผิดของผู้เสียหาย ลดโทษรอการลงโทษ
ว.พ.ป.ส.คและช.กับพวกนั่งคุยและผิงไฟจับกลุ่มกันอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน จำเลยขับรถอีแต๋น จะกลับบ้านและรถได้ตกลงไปในคลองข้างบ้าน พ.จำเลยไปขอให้บุคคลเหล่านั้นไปช่วยยกรถ บุคคลเหล่านั้นไม่ยอมไปช่วย จำเลยต่อว่าว่าไม่มีน้ำใจ แล้วกลับไปเอามีดเหลียนมาไล่ฟันพ.พวกของพ.ก็เข้าไปช่วยเหลือพ.แล้วเกิดต่อสู่ทำร้ายซึ่งกันและกันโดยจำเลยใช้มีดเหลียนฟันป.ส่วนพวกของพ.ใช้จอบฟันและใช้ไม้ตีจำเลย ดังนี้ การที่จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุโดยไปเอามีดเหลียนและใช้มีดเหลียนไล่ฟันพ.ก่อนจำเลยจะอ้างเหตุป้องกันตัวหาได้ไม่ แต่พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่าจำเลยใช้มีดเหลียนฟันป. ในขณะชุลมุนต่อสู่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกฟันได้และฟันไปเพียงครั้งเดียวจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าป.คงมีเจตนาเพียงทำร้ายเท่านั้น บาดแผลของป.ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 30 วัน ทำให้ป.ทำงานตามปกติไม่ได้เป็นเวลา1 เดือนเศษ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่ความผิดดังกล่าวรวมการกระทำโดยเจตนาทำร้ายด้วยซึ่งเป็นความผิดอยู่ในตัว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในฐานความผิดตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในข้อเท็จจริง + ประมาทเลินเล่อ ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
จำเลยทั้งสองทำร้ายผู้เสียหายโดยเข้าใจว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายจะเข้าไปลักทรัพย์ในโรงเรียน แต่ผู้เสียหายไม่ใช่คนร้าย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริง แต่ขณะถูกทำร้ายผู้เสียหายได้ร้องบอกว่า"อย่าทำผม" เวลาที่เกิดเหตุไม่ปรากฎว่ามีทรัพย์สินอย่างอื่นนอกจากกองไม้ อีกทั้งผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัว การไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายไม่ใช่คนร้ายเข้ามาลักทรัพย์จึงเกิดขึ้นด้วยความประมาทของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทสำหรับการกระทำนั้นด้วยตามป.อ. มาตรา 62 วรรคสองเมื่อผู้เสียหายถูกจำเลยทั้งสองทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในข้อเท็จจริง & ประมาทเลินเล่อ ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
จำเลยทั้งสองทำร้ายผู้เสียหายโดยเข้าใจว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายจะเข้าไปลักทรัพย์ในโรงเรียนแต่ผู้เสียหายไม่ใช่คนร้ายการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงแต่ขณะถูกทำร้ายผู้เสียหายได้ร้องบอกว่า"อย่าทำผม"เวลาที่เกิดเหตุไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอย่างอื่นนอกจากกองไม้อีกทั้งผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัวการไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายไม่ใช่คนร้ายเข้ามาลักทรัพย์จึงเกิดขึ้นด้วยความประมาทของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทสำหรับการกระทำนั้นด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา62วรรคสองเมื่อผู้เสียหายถูกจำเลยทั้งสองทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อันตรายสาหัส – การพิสูจน์ความทุกขเวทนาและผลกระทบต่อการใช้ชีวิต, กรรมเดียวผิดหลายบท
แม้หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือน นิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยืดออกได้ตามปกติก็ตาม แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับทุกขเวทนาหรือไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส
การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอย แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของ พ.อีกนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยจำเลยมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน
การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอย แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของ พ.อีกนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยจำเลยมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อันตรายสาหัส การทำร้ายต่อเนื่อง และความผิดกรรมเดียว
แม้หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือน นิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยืดออกได้ตามปกติก็ตาม แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับทุกขเวทนาหรือไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอย แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของ พ. อีกนั้น ถือได้ว่า เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยจำเลยมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้เกิน 20 วัน
จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วม โดยจำเลยที่ 1 ใช้มีดฟันถูกฝ่ามือข้างซ้ายบริเวณโคนนิ้วก้อยและนิ้วนางของโจทก์ร่วม ทำให้เอ็นนิ้วก้อยและนิ้วนางขาด และเส้นประสาทขาด โจทก์ร่วมต้องรักษาตัวอยู่นานถึง 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ยังไม่สามารถใช้นิ้วมือนับธนบัตรได้ตามหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามปกติ เป็นกรณีที่โจทก์ร่วมไม่สามารถประกอบกรณียกิจตามปกติได้เกินกว่ายี่สิบวัน การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8),83