พบผลลัพธ์ทั้งหมด 36 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายรับเงินแทนตัวความ: จำเป็นต้องมีใบมอบอำนาจ
ทนายโจทก์ไม่มีอำนาจรับเงินซึ่งจำเลยชำระตาม สัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์นอกศาล เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายรับเงินนั้นแทน การที่จำเลยชำระเงิน ให้ทนายโจทก์ย่อมไม่ผูกพันโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกหนี้หลังชำระบัญชีเลิกบริษัท และอำนาจทนายความในการดำเนินคดี
แม้การชำระบัญชีสิ้นสุดไปแล้ว กฎหมายยังให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินที่บริษัทหรือผู้ถือหุ้นเป็นหนี้อยู่ได้ กรณีเรื่องนี้ว่ากล่าวกันให้บริษัทผู้ร้องต้องรับผิดเป็นเงินวางศาลเมื่อบริษัทผู้ร้องรับไม้ของกลางไปและได้ว่ากล่าวกันก่อนเลิกบริษัท ฉะนั้น ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 ประกอบมาตรา 1272 คู่กรณีจึงคงว่ากล่าวคดีกันต่อมาได้และทนายของบริษัทผู้ร้องคงมีอำนาจดำเนินดคีต่อมาตามที่ได้รับแต่งตั้งไว้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้บริษัทผู้ร้องนำเงินราคาไม้ของกลางที่ยังขาด 1,398,000 บาท มาวางศาลภายใน 15 วัน บริษัทผู้ร้องฎีกาต่อมาได้ไม่ต้องห้าม ไม่อยู่ภายในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บริษัทผู้ร้องขอให้คิดราคาไม้ของกลาง 4 เท่าของอัตราค่าภาคหลวง ราคานี้กรมป่าไม้ขายให้เฉพาะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งเป็นองค์การรัฐบาลเท่านั้น การตีราคาในคดีนี้ต้องถือราคาในท้องตลาดเป็นเกณฑ์ คือ ลูกบาศก์เมตรละ 2,050 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้บริษัทผู้ร้องนำเงินราคาไม้ของกลางที่ยังขาด 1,398,000 บาท มาวางศาลภายใน 15 วัน บริษัทผู้ร้องฎีกาต่อมาได้ไม่ต้องห้าม ไม่อยู่ภายในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บริษัทผู้ร้องขอให้คิดราคาไม้ของกลาง 4 เท่าของอัตราค่าภาคหลวง ราคานี้กรมป่าไม้ขายให้เฉพาะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งเป็นองค์การรัฐบาลเท่านั้น การตีราคาในคดีนี้ต้องถือราคาในท้องตลาดเป็นเกณฑ์ คือ ลูกบาศก์เมตรละ 2,050 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกหนี้หลังเลิกบริษัท, อำนาจทนาย, และการตีราคาไม้ของกลาง
แม้การชำระบัญชีสิ้นสุดไปแล้ว กฎหมายยังให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินที่บริษัทหรือผู้ถือหุ้นเป็นหนี้อยู่ได้
กรณีเรื่องนี้ว่ากล่าวกันให้บริษัทผู้ร้องต้องรับผิดเป็นเงินวางศาลเมื่อบริษัทผู้ร้องรับไม้ของกลางไปและได้ว่ากล่าวกันก่อนเลิกบริษัท ฉะนั้น ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 ประกอบมาตรา 1272 คู่กรณีจึงคงว่ากล่าวคดีกันต่อมาได้และทนายของบริษัทผู้ร้องคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อมาตามที่ได้รับแต่งตั้งไว้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้บริษัทผู้ร้องนำเงินราคาไม้ของกลางที่ยังขาด 1,398,000 บาท มาวางศาลภายใน 15 วันบริษัทผู้ร้องฎีกาต่อมาได้ไม่ต้องห้ามไม่อยู่ภายในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บริษัทผู้ร้องขอให้คิดราคาไม้ของกลาง 4 เท่าของอัตราค่าภาคหลวงราคานี้กรมป่าไม้ขายให้เฉพาะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งเป็นองค์การรัฐบาลเท่านั้นการตีราคาในคดีนี้ต้องถือราคาในท้องตลาดเป็นเกณฑ์ คือลูกบาศก์เมตรละ 2,050 บาท
กรณีเรื่องนี้ว่ากล่าวกันให้บริษัทผู้ร้องต้องรับผิดเป็นเงินวางศาลเมื่อบริษัทผู้ร้องรับไม้ของกลางไปและได้ว่ากล่าวกันก่อนเลิกบริษัท ฉะนั้น ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 ประกอบมาตรา 1272 คู่กรณีจึงคงว่ากล่าวคดีกันต่อมาได้และทนายของบริษัทผู้ร้องคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อมาตามที่ได้รับแต่งตั้งไว้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้บริษัทผู้ร้องนำเงินราคาไม้ของกลางที่ยังขาด 1,398,000 บาท มาวางศาลภายใน 15 วันบริษัทผู้ร้องฎีกาต่อมาได้ไม่ต้องห้ามไม่อยู่ภายในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บริษัทผู้ร้องขอให้คิดราคาไม้ของกลาง 4 เท่าของอัตราค่าภาคหลวงราคานี้กรมป่าไม้ขายให้เฉพาะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งเป็นองค์การรัฐบาลเท่านั้นการตีราคาในคดีนี้ต้องถือราคาในท้องตลาดเป็นเกณฑ์ คือลูกบาศก์เมตรละ 2,050 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลายมือชื่อโจทก์ในฟ้องคดีอาญา: ความสมบูรณ์ของฟ้องและอำนาจทนาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 เป็นที่เห็นได้ชัดว่าโจทก์ต้องลงลายมือชื่อในฟ้องด้วยตนเองทนายความของโจทก์จะเป็นผู้ลงชื่อแทนไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 618/2490,300/2507)
(อ้างฎีกาที่ 618/2490,300/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดอำนาจทนายความเมื่อมอบอำนาจโดยนิติบุคคล และผู้มอบอำนาจเสียชีวิตก่อนยื่นอุทธรณ์ ไม่กระทบอำนาจทนาย
วัดอันเป็นนิติบุคคลฟ้องความโดยมอบอำนาจให้ไวยาวัจกรเป็นผู้ดำเนินคดี ต่อมาไวยาวัจกรถึงแก่กรรมเสียก่อนวันยื่นอุทธรณ์ดังนี้ก็หาทำให้ใบแต่งทนายที่ไวยาวัจกรลงชื่อแต่งทนายไว้สิ้นสุดไปไม่ทนายความคงดำเนินกระบวนพิจารณาได้ต่อไป เพราะถือว่าทนายความยังเป็นทนายของโจทก์อยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1959/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายฟ้องแทน และสิทธิเช่าที่ดินเมื่อสัญญาเช่าร่วมถูกบอกเลิกเฉพาะคู่สัญญาบางส่วน
ทนายโจทก์ลงนามฟ้องความแทนโจทก์โดยอาศัยใบแต่งทนายซึ่งโจทก์ทำให้เพียงใบเดียว แม้ไม่มีหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องความ ก็ย่อมใช้ได้
การเช่าที่ราชพัสดุรายพิพาท โจทก์จำเลยที่ 1 และ นางชอุ่ม ได้ทำสัญญาเช่าร่วมกัน รับผิดต่อกระทรวงการคลัง แต่ทำสัญญาแยกกันคนละฉบับ ต่อมา จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวทำสัญญา โดยเอาที่นี้ไปให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงปลูกโรงภาพยนต์ กระทรวงการคลังจึงได้บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เช่นนี้สัญญาเช่าระหว่างกระทรวงการคลัง กับ โจทก์และ นางชอุ่ม ซึ่งมิได้ถูกบอกเลิกนั้น ยังคงใช้ได้อยู่.
การเช่าที่ราชพัสดุรายพิพาท โจทก์จำเลยที่ 1 และ นางชอุ่ม ได้ทำสัญญาเช่าร่วมกัน รับผิดต่อกระทรวงการคลัง แต่ทำสัญญาแยกกันคนละฉบับ ต่อมา จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวทำสัญญา โดยเอาที่นี้ไปให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงปลูกโรงภาพยนต์ กระทรวงการคลังจึงได้บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เช่นนี้สัญญาเช่าระหว่างกระทรวงการคลัง กับ โจทก์และ นางชอุ่ม ซึ่งมิได้ถูกบอกเลิกนั้น ยังคงใช้ได้อยู่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและการบรรยายฟ้อง: อำนาจทนายทำสัญญาแทน, สัญญาที่แตกต่างจากละเมิด
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยรบกวนสิทธิ ละเมิดสิทธิ ขอให้ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องหรือขัดขวางในการที่โจทก์จะครอบครองทรัพย์ แต่คดีหลังโจทก์ฟ้องเรื่องผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายตามสัญญาที่ทำกันไว้เกี่ยวกับทรัพย์รายเดียวกันนั้น ไม่เกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีก่อน กรณีไม่ต้องด้วย มาตรา 144 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ในคดีหลังโจทก์กล่าวฟ้องว่านางอ่าง (ซึ่งเป็นตัวความในคดีก่อน) เป็นผู้ทำสัญญากับโจทก์ โดยโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า ในคดีก่อนนายสว่างเป็นทนายแก้ต่างนางอ่างและได้ทำสัญญาแทนนางอ่าง แต่ปรากฏตามใบแต่งทนายที่นางอ่างได้แต่งให้นายสว่างเป็นทนายว่าความแทนในคดีก่อน ให้อำนาจแก่นายสว่างทนายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาแทนในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อเป็นเช่นนี้นายสว่างจึงมีอำนาจทำความตกลงยอมใช้ค่าเสียหายแทนนางอ่างได้เสมือนว่านางอ่างเป็นผู้ตกลงเอง โจทก์ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายความข้อนี้ลงในฟ้องให้ยืดยาว ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
ในคดีหลังโจทก์กล่าวฟ้องว่านางอ่าง (ซึ่งเป็นตัวความในคดีก่อน) เป็นผู้ทำสัญญากับโจทก์ โดยโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า ในคดีก่อนนายสว่างเป็นทนายแก้ต่างนางอ่างและได้ทำสัญญาแทนนางอ่าง แต่ปรากฏตามใบแต่งทนายที่นางอ่างได้แต่งให้นายสว่างเป็นทนายว่าความแทนในคดีก่อน ให้อำนาจแก่นายสว่างทนายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาแทนในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อเป็นเช่นนี้นายสว่างจึงมีอำนาจทำความตกลงยอมใช้ค่าเสียหายแทนนางอ่างได้เสมือนว่านางอ่างเป็นผู้ตกลงเอง โจทก์ไม่จำเป็นที่จะต้องบรรยายความข้อนี้ลงในฟ้องให้ยืดยาว ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับอุทธรณ์แม้ทนายไม่มีอำนาจ แต่ภายหลังสัตยาบันและมอบอำนาจใหม่ ศาลมีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
ทนายลงชื่อในอุทธรณ์โดยไม่ได้รับมอบอำนาจ ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อพ้นอายุอุทธรณ์แล้วตัวความจึงได้ให้สัตยาบันและยื่นใบแต่งทนายใหม่มอบให้ทนายมีอำนาจอุทธรณ์ได้ กรณีเช่นนี้ต้องด้วยวิ.แพ่ง ม. 27 เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลก็ย่อมสั่งให้คู่ความจัดการแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องได้ และเมื่อทนายได้ทำใ่บแต่ทนาย+ให้อุทธรณ์ได้ขึ้นใหม่ และสัตยาบัน+ยื่นอุทธรณ์ที่+ได้รับไว้แล้วนั้น ก็ชอบที่จะรับอุทธรณ์+ได้(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับอุทธรณ์แม้ทนายไม่มีอำนาจในตอนแรก และการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ทนายลงชื่อในอุทธรณ์โดยไม่ได้รับมอบอำนาจ ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อพ้นอายุอุทธรณ์แล้วตัวความจึงได้ให้สัตยาบันและยื่นใบแต่งทนายใหม่มอบให้ทนายมีอำนาจอุทธรณ์ได้ กรณีเช่นนี้ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลก็ย่อมสั่งให้คู่ความจัดการแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 713/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการลงชื่อแทนจำเลยในฟ้องอุทธรณ์ ศาลควรคืนคำคู่ความเพื่อแก้ไข ไม่ยกฟ้อง
ในฟ้องอุทธรณ์มีชื่อจำเลยเป็นผู้ยื่น แต่ในท้ายอุทธรณ์ทนายเป็นผู้ลงชื่อ อุทธรณ์นั้นศาลชั้นต้นสั่งรับแล้วฉะนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าทนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อแทนจำเลยในฟ้องอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะต้องคืนคำคู่ความไปให้ทำมาใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา18 จะยกอุทธรณ์จำเลยเสียทีเดียวหาได้ไม่
การที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์จำเลยทุกคนโดยอ้างว่าทนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อในอุทธรณ์แทนจำเลยนั้นเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยเพียงคนเดียวฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยทุกคนได้
การที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์จำเลยทุกคนโดยอ้างว่าทนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อในอุทธรณ์แทนจำเลยนั้นเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยเพียงคนเดียวฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยทุกคนได้