คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจวินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 100 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2951/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยประเด็นนี้
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ผ.หรือไม่หรือจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทน ผ.จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลในคดีเดิมที่สั่งว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์เพื่อจะได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพื่อจัดการแบ่งให้แก่ทายาทต่อไปมิอาจบังคับให้ได้จึงพิพากษายกฟ้องการที่โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลควรพิพากษาตามคำขอดังกล่าวและจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่า ผ. ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองแล้วประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงหาได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่เพราะย่อมมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ได้หาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2704/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลเป็นผู้มีอำนาจใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของโจทก์และจำเลยจนแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ดังนั้น การที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานโจทก์บางปาก และไม่วินิจฉัยพยานโจทก์และพยานจำเลยบางปากนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2556/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักกลบลบหนี้จากฟ้องแย้งที่ยุติแล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยซ้ำ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ติดตั้งชุดมอเตอร์เกียร์ให้จำเลยไม่ตรงตามสัญญาจนต่อมาได้เสียหายทั้งชุดโจทก์ต้องรับผิดในความเสียหายส่วนนี้ตามฟ้องแย้งจำนวน80,000บาทโดยให้หักกับเงินจำนวน200,000บาทที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ในงานงวดสุดท้ายและพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน120,000บาทโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์เกี่ยวกับจำนวนความเสียหายตามฟ้องแย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับจำนวนเงินตามฟ้องแย้งจึงยุติถึงที่สุดแล้วการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยต้องเสียหายเป็นจำนวนเงิน150,000บาทตามฟ้องแย้งและนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับโอนที่ดินเกินคำขอ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย
โจทก์อ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่า ได้มีการทำสัญญาระหว่าง ว.กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 28 และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว.ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย ฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืน โจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7495/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยประเด็นเฉพาะตามอุทธรณ์ แม้มีประเด็นอื่นที่ไม่ได้วินิจฉัยในศาลชั้นต้น
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามหนี้จากโจทก์ และจำเลยมิได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ตามแต่ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์เกินกว่า500,000 บาท หรือไม่และจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ก็ได้วินิจฉัยรวมถึงประเด็นที่จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้แล้ว ยกเว้นในประเด็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ที่มิได้วินิจฉัย แต่เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าการที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวเป็นการไม่ชอบก็ถือได้ว่าจำเลยไม่ติดใจในข้อนี้แล้ว ดังนี้ แม้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยและย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผิดนัดและประเด็นความสงบเรียบร้อยของประชาชนในชั้นอุทธรณ์: อำนาจวินิจฉัยของศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทนายโจทก์ไม่ได้ไปยังที่ทำการที่ดินอำเภอเมื่อเวลา 10.45 นาฬิกา แต่โจทก์ไปถึงเวลา 12 นาฬิกาเศษ เป็นการพ้นเวลานัด โจทก์จึงเป็นผู้ผิดนัด เมื่อโจทก์อ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ผิดนัด เพราะให้ทนายโจทก์ไปยังสำนักงานที่ดินก่อน และตัวโจทก์ไปถึงเวลา 12 นาฬิกาเศษ จึงมีประเด็นเรื่องผิดนัดเป็นกรณีที่พิพาทกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้ เมื่อมิได้วินิจฉัยศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
จำเลยร่วมฎีกาว่า ศาลชั้นต้นไม่ควรขยายระยะเวลาให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียม ต้องสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์ เป็นประเด็นเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยร่วมจะไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ไว้แต่ได้โต้แย้งคัดค้านไว้ในคำแก้-อุทธรณ์ถือว่าเป็นประเด็นพิพาทในชั้นอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ให้ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3597/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความหลังศาลชั้นต้น: ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้ศาลอุทธรณ์ไม่หยิบยก
คดีความผิดต่อส่วนตัว หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องพร้อมอุทธรณ์ของจำเลยว่าประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับจำเลย ไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป ฝ่ายโจทก์ไม่โต้แย้งเป็นอย่างอื่น ถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาลงโทษจำเลยโดยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 344/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์พ้นกำหนด ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายได้เอง แม้โจทก์มิได้อ้าง
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งยื่นมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้วนั้นเป็นการไม่ชอบ และเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกวินิจฉัยได้เองโดยไม่จำต้องรอให้คู่ความฝ่ายใดหยิบยกกล่าวอ้าง กรณีที่ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหา โดยการไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาก็ชอบที่จะวินิจฉัยปัญหามานั้นไปได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนกลับไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยประเด็นความผิด หากจำเลยอุทธรณ์ขอลดโทษ แม้ไม่โต้แย้งความผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย แม้จำเลยจะอุทธรณ์ขอให้ศาลลดโทษให้เพียงประการเดียวโดยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่อีกครั้งหนึ่ง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วพิพากษายืน ปัญหาดังกล่าวจึงจะถึงที่สุด เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4280/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการไม่จำต้องวินิจฉัยหากไม่ส่งผลต่อผลคดี
พยานหลักฐานใดที่เกี่ยวพันกับประเด็นในคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามลำดับประเด็นแห่งคดี แต่เมื่อผลคำวินิจฉัยฟังเป็นยุติโดยไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับพยานหลักฐานนั้น หรือการวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานนั้นไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงแล้ว ศาลก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานเหล่านั้นต่อไปได้
การที่ศาลได้วินิจฉัยผลแห่งคดีว่า การซื้อนาฬิกาของจำเลยเป็นโมฆียะและจำเลยบอกล้างแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน เช่นนี้ จึงหาจำต้องพิจารณาว่ามีข้อตกลงว่าหากเป็นของปลอมจะต้องคืนของหรือไม่อีก
of 10