คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 56 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีวันที่ออก ผลต่อความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค และขอบเขตอำนาจศาลฎีกา
จำเลยที่ 2 ออกเช็คโดยไม่ลงวันออกเช็ค ย่อมถือว่าไม่มีวันที่จำเลยกระทำความผิด แม้ต่อมาจะมีการประทับตรายางวันที่ตามข้อตกลงกันก็มีผลทำให้เช็คนั้นสมบูรณ์มีรายการครบถ้วนตามกฎหมาย เพื่อใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น หาทำให้กลับเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 ไม่ แม้จำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวฎีกา แต่การที่เช็คที่จำเลยร่วมกันออกไม่ลงวันที่ออกเช็คเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องถูกลงโทษได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3524/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลและการใช้อำนาจทั่วไปของศาลฎีกาเพื่อแก้ไขปัญหา
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถา แต่ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน 15 วัน ต่อมาโจทก์ขอขยายเวลาไปอีก 60 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตเพียง 15 วันศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้สั่งในเรื่องกำหนดระยะเวลาให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาล และตามฎีกาโจทก์เป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ให้ใหม่ด้วย ศาลฎีกาย่อมเห็นสมควรให้เวลาแก่โจทก์ได้มีโอกาสวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสาร ท.ร.6 ตอน 1 เป็นเอกสารราชการหรือไม่? ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย แม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
ใบแจ้งย้ายที่อยู่ ท.ร.6 ตอน 1 เป็นเอกสารราชการหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ใบแจ้งย้ายที่อยู่ ท.ร.6 ตอน 1 เป็นแบบฟอร์มของทางราชการที่นายทะเบียนผู้รับแจ้งย้ายออก และนายทะเบียนผู้รับแจ้งย้ายเข้าต้องลงชื่อเป็นผู้รับแจ้งในเอกสารนี้ด้วย ถือได้ว่าเป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้น อันเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้น อันเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1(8) หาใช่เป็นเพียงเอกสารส่วนตัวของเจ้าบ้านไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอพิสูจน์ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ไม่ฎีกา
คดีที่มีจำเลยหลายคนซึ่งศาลรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันแม้จำเลยสำนวนคดีหนึ่งฎีกา แต่จำเลยอีกสำนวนคดีหนึ่งไม่ได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองสำนวนคดีกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นอันถือว่าเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยสำนวนคดีที่ไม่ได้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5451/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รวมพิจารณาคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแม้จำเลยบางคนไม่ได้อุทธรณ์
โจทก์แยกฟ้องจำเลยกับ จ. มาเป็นสองสำนวน ข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์ ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาและพิพากษาว่าจำเลยกับ ว.มีความผิดตามฟ้อง จำเลยเพียงผู้เดียวอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลย โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยและ จ. เป็นคนร้าย ดังนี้ เนื่องจากเหตุที่จำเลย กับ จ.ถูกฟ้องเป็นเหตุเดียวกัน แม้จะถูกฟ้องเป็นคนละคดี แต่ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเป็นคดีเดียวกันและเหตุที่ยกฟ้องเป็นเหตุในลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับ จ. ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213ประกอบด้วยมาตรา 225.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จ-เบิกความเท็จ: การพิจารณาความผิดกรรมเดียว-หลายบท และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ 2 กระทงฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ฐานเบิกความเท็จอีก 2 กระทงฐานแจ้งความเท็จกระทงแรกจำคุก 1 ปี ฐานใช้เอกสารปลอมกับแจ้งความเท็จกระทงหลังให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมจำคุก 2 ปี ฐานเบิกความเท็จจำคุกกระทงละ 3 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 6 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารปลอม กระทงหนึ่ง จำคุก 6 เดือน และจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จกระทงเดียวจำคุก 6 เดือน รวมเป็นจำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 8 เดือน เป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและเบิกความเท็จจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในความผิดฐานแจ้งความเท็จและยังไม่ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทป. เป็นเท็จหรือไม่ แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา การที่จำเลยไปแจ้งความว่าโจทก์ออกเช็คให้แก่จำเลยทั้งที่ความจริงโจทก์ออกเช็คให้แก่ ว. ทำให้จำเลยกลายเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ การแจ้งความดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ การที่จำเลยเบิกความสองครั้งในคดีเดียวกันคือในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณาแม้จะเป็นการเบิกความคนละคราว แต่ก็เป็นการนำสาระสำคัญของข้อความในเรื่องเดียวกัน มูลเหตุเดียวกันมากล่าวอีกครั้งโดยมีเจตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดีเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4875/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพมีผลต่อการลดโทษ และอำนาจศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษที่ศาลล่างใช้ผิด
จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยโดยมิได้ลดโทษให้ จำเลยมิได้อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องในความผิดฐานนี้ คงเพียงแต่อุทธรณ์ขอให้ลดโทษให้จำเลยเมื่อศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 และพิพากษายืน จำเลยจะฎีกาขอให้ยกฟ้องในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้ เพราะความผิดฐานนี้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 245 แล้วทั้งยังขัดต่อคำรับสารภาพของจำเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้เฮโรอีนของกลางมีปริมาณมาก แต่จำเลยให้การรับสารภาพตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุมทำให้การพิจารณาวินิจฉัยคดีเป็นไปโดยสะดวกนับเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ถือได้ว่ามีเหตุบรรเทาโทษตามกฎหมาย ความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตนั้น ศาลชั้นต้นมิได้ระบุวรรคในตัวบทมาตราที่ใช้ปรับบทลงโทษและศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขแม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3021/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางที่เป็นวัตถุระเบิดผิดกฎหมาย แม้ศาลล่างไม่ได้สั่งริบ ศาลฎีกามีอำนาจสั่งริบได้
วัตถุระเบิดของกลางเป็นวัตถุระเบิดนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 11(พ.ศ. 2522) ซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองได้ วัตถุระเบิดของกลางดังกล่าวจึงเป็นของที่มีไว้เป็นความผิดอยู่ในตัว จำเลยมีไว้ในครอบครองต้องมีความผิด ซึ่งตาม ป.อ. มาตรา 32 บัญญัติไว้ว่าให้ริบเสียทั้งสิ้น การที่ศาลไม่สั่งริบของกลางตามคำขอของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วย ป.อ. มาตรา 32 ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 186(9) แม้โจทก์ไม่ยกขึ้นว่ากันในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจทำคำวินิจฉัยในเรื่องของกลางได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาในการยกฟ้องความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนเมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืน พาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนดังกล่าวกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แม้ว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจะยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นนอกคำขอ และประเด็นที่ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ แม้โจทก์ไม่ฎีกา
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ ไม่ได้ตั้งประเด็นว่าที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 309 เป็นสินสมรสหรือไม่ด้วย การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 309 เป็นสินสมรส จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสนั้น จำเลยไม่อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าที่พิพาทเป็นสินสมรส การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นการพิพากษาประเด็นเป็นการไม่ชอบ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์จะไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
of 6