พบผลลัพธ์ทั้งหมด 51 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องแย้งในคดีแรงงาน: ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก หมายความว่าฟ้องแย้งจะต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิม ศาลจึงจะรับฟ้องแย้งไว้พิจารณาได้ โจทก์ในฐานะนายจ้างฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามเนื่องจากจำเลยทั้งสามปฏิบัติงานโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายจำเลยทั้งสามยื่นคำให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายและไม่มีความผิดตามที่โจทก์กล่าวหา และฟ้องแย้งว่า โจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนและลงโทษทางวินัยด้วยการตัดเงินเดือนภาคทัณฑ์ และทำทัณฑ์บนแก่จำเลยทั้งสามตามลำดับ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ทำให้ขาดรายได้ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามในคดีนี้ทำให้จำเลยต้องเสียเงินว่าจ้างทนายความมาต่อสู้คดี แม้ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามกล่าวอ้างว่าการสอบสวนและลงโทษทางวินัยต่อจำเลยทั้งสามเป็นการไม่ถูกต้องเพราะจำเลยทั้งสามไม่ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหาอันเป็นเรื่องเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามในคดีนี้ แต่เมื่อจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้รับฟ้องแย้งส่วนที่เป็นค่าเสียหายที่เป็นตัวเงิน อันได้แก่ค่าขาดรายได้จากการไม่ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างทนายความ ซึ่งปัญหาที่ว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ถูกลงโทษทางวินัยแล้วจะไม่ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนในปีงบประมาณ 2534 จริงหรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด เป็นข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและยังต้องพิจารณาตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยเฉพาะ จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องของโจทก์ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามที่ฟ้องเรียกเงินค่าว่าจ้างทนายความมาว่าความในคดีนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะพิจารณาว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเช่นเดียวกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแรงงานไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้มีการฟ้องอาญาฐานยักยอกทรัพย์
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือขอให้รับกลับเข้าทำงานตามกฎหมายแรงงาน กับเรียกร้องเงินทุนเลี้ยงชีพตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย หรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญาไม่ แม้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานทุจริตยักยอกทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับที่จำเลยอ้างเป็นเหตุในการเลิกจ้างโจทก์ก็ไม่ทำให้คดีนี้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินต่าง ๆ ตามกฎหมายแรงงานและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไปได้ ศาลจึงมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทุจริตยักยอกเงินของจำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรงและทุจริตต่อหน้าที่ไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่-ฟ้องแย้งสัญญาเช่า: ศาลต้องรับฟ้องแย้งทั้งหมดเมื่อเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารและบ้านซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์โดยมิได้ทำหนังสือสัญญาเข่าและไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่า จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ขอให้บังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนโดยยินยอมให้จำเลยเช่าอาคารและบ้านเป็นเวลา 20 ปี หากโจทก์ไม่อาจให้เช่าได้ก็ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ500,000 บาท คำขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจึงเกี่ยวเนื่องกับคำขอที่บังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาและเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมด้วย ศาลต้องรับฟ้องแย้งไว้ทั้งหมด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตฟ้องแย้ง: ประเด็นเกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิมต้องรับไว้พิจารณา แต่ประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวเนื่องต้องห้าม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้าง ฯ โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วน ในระหว่างที่จำเลยร่วมกันดำเนินกิจการของโจทก์ 1 แทนโจทก์ที่ 2 ได้จำหน่ายรถไถและอุปกรณ์รถไถของโจทก์ที่ 1 แล้วไม่นำเงินส่งให้โจทก์ที่ 1 กับเอาตราและเอกสารของโจทก์ที่ 1 ไปด้วย ขอให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้าที่จำหน่ายไป กับให้ส่งมอบตราและเอกสารแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและลูกจ้างของโจทก์ที่ 1 ได้รับรถไถของจำเลยที่ 4 ไปจำหน่ายแล้วไม่นำเงินส่งมอบแก่โจทก์ 1 และจำเลยที่ 4 ตามข้อตกลง ทั้งยังได้นำเงินของโจทก์ที่ 1 ไปใช้จ่ายเป็นส่วนตัวอีกด้วย ขอให้โจทก์ที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 4 กับให้โจทก์ที่ 3 ซึ่งเข้ามาช่วยโจทก์ที่ 2 ดำเนินการห้าง ฯ โจทก์ที่ร่วมรับผิดด้วย และให้โจทก์ที่ 2 ไปดำเนินการจดทะเบียนเลิกห้าง ฯ โจทก์ที่ 1 และชำระบัญชี ดังนี้ ฟ้องแย้งในเรื่องที่เกี่ยวกับรถไถเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ส่วนฟ้องแย้งที่อ้างว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 นำเงินของโจทก์ที่ 1 ไปใช้จ่ายเป็นส่วนตัว กับให้โจทก์ที่ 2 ไปดำเนินการจดทะเบียนเลิกห้างฯ โจทก์ที่ 1และชำระบัญชีนั้น เป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ต้องห้ามมิให้ฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องแย้ง: ประเด็นเกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิม vs. ประเด็นอื่นนอกเหนือ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนในระหว่างที่จำเลยร่วมกันดำเนินกิจการของโจทก์ที่1 แทนโจทก์ที่ 2 ได้จำหน่ายรถไถและอุปกรณ์รถไถของโจทก์ที่ 1 แล้วไม่นำเงินส่งให้โจทก์ที่1 กับเอาตราและเอกสารของโจทก์ที่ 1 ไปด้วย ขอให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้าที่จำหน่ายไป กับให้ส่งมอบตราและเอกสารแก่โจทก์จำเลยที่ 4 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและลูกจ้างของโจทก์ที่ 1 ได้รับรถไถของจำเลยที่ 4 ไปจำหน่ายแล้วไม่นำเงินส่งมอบแก่โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 4 ตามข้อตกลง ทั้งยังได้นำเงินของโจทก์ที่ 1 ไปใช้จ่ายเป็นส่วนตัวอีกด้วยขอให้โจทก์ที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 4 กับให้โจทก์ที่ 3 ซึ่งเข้ามาช่วยโจทก์ที่ 2 ดำเนินการห้างฯ โจทก์ที่ 1 ร่วมรับผิดด้วย และให้โจทก์ที่ 2 ไปดำเนินการจดทะเบียนเลิกห้างฯ โจทก์ที่ 1 และชำระบัญชีดังนี้ ฟ้องแย้งในเรื่องที่เกี่ยวกับรถไถเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ส่วนฟ้องแย้งที่อ้างว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 นำเงินของโจทก์ที่ 1 ไปใช้จ่ายเป็นส่วนตัวกับให้โจทก์ที่ 2 ไปดำเนินการจดทะเบียนเลิกห้างฯ โจทก์ที่ 1 และชำระบัญชีนั้น เป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมต้องห้ามมิให้ฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิม หากไม่เกี่ยวเนื่อง ศาลไม่รับฟ้อง
ฟ้องกล่าวอ้างว่า เดิมจำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์ปลูกเรือนอยู่อาศัย สัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จึงบอกเลิกสัญญาเช่า และให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไป แต่จำเลยเพิกเฉยคงอยู่ในที่ดินโดยละเมิด ส่วนฟ้องแย้งเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์แจ้งว่าจะปรับปรุงการจัดผลประโยชน์ในที่ดินใหม่ เสร็จแล้วจะให้จำเลยเช่าต่อไปเป็นทำนองให้คำมั่นว่าจะให้จำเลยเช่า ดังนี้ หาใช่เรื่องเกี่ยวกันไม่ เพราะคำมั่นไม่เกี่ยวกับสัญญาเช่าที่หมดอายุไปแล้ว หรือมูลละเมิดที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องแย้งในคดีแพ่ง: การฟ้องแย้งต้องเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิม
ประเด็นตามฟ้องมีว่า โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยกระทำการเกินขอบเขตที่โจทก์อนุญาตให้จำเลยเดินผ่านทางเดินรายพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์หรือไม่ การที่จำเลยฟ้องแย้งให้ห้ามโจทก์เปิดประตูรั้วออกมาทางทางเดินรายพิพาท และแกล้งเปิดประตูรั้วกระทบจำเลยและครอบครัว กับห้ามโจทก์และบริวารปารั้วสังกะสีของโจทก์ทำให้จำเลยและบริวารตกใจ จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จำเลยจะต้องฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาอาญาในการพิจารณาคดีแพ่ง
หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแพ่งแล้ว อัยการศาลทหารกรุงเทพ(พนักงานอัยการ กรมอัยการ) ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสซึ่งเป็นมูลกรณีเดียวกัน คดีแพ่งเรื่องนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 และพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 บัญญัติให้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสพิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุด เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังได้ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทำละเมิดโจทก์
ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสพิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุด เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังได้ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทำละเมิดโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3979/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีแพ่งต้องยึดข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์และถูกโจทก์ฟ้องคดีอาญาจนศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุด แต่จำเลยก็ไม่รื้อบ้านออกไปจากที่พิพาท กลับเข้าไปอยู่อีกจึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาโดยตรง ซึ่งการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การรับพยานหลักฐาน และอายุความฟ้องคดี
โจทก์ขอส่งสำเนาคำพิพากษาคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานภายหลังที่โจทก์แถลงต่อศาลว่าหมดพยานแล้ว แต่เป็นคำพิพากษาซึ่งศาลลงโทษจำเลยฐานบุกรุกอันเป็นมูลคดีนี้ซึ่งโจทก์ก็ได้กล่าวอ้างผลของคำพิพากษา และหมายเลขคดีอาญานั้นมาในฟ้องแล้วจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ จึงถือว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว โจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องนำสืบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนั้นอีก แต่เมื่อโจทก์อ้างส่งและศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลย่อมมีอำนาจที่จะรับสำเนาเอกสารดังกล่าวไว้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม, 87 (2)
เมื่อคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดฐานบุกรุกตึกแถวพิพาท คดีถึงที่สุดแล้ว การพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญานั้น
คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งจำเลยถูกฟ้องฐานบุกรุกและถูกลงโทษเสร็จเด็ดขาดแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีแพ่งย่อมมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 168 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม
เมื่อคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดฐานบุกรุกตึกแถวพิพาท คดีถึงที่สุดแล้ว การพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญานั้น
คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งจำเลยถูกฟ้องฐานบุกรุกและถูกลงโทษเสร็จเด็ดขาดแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีแพ่งย่อมมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 168 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม