คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจ้าของร่วม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 264 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6452/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีขับไล่, สิทธิเจ้าของร่วม, ความรับผิดของผู้เช่าช่วง
การพิจารณาว่าคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องถือตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคสองกล่าวคือ หากมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โดยถือเอาค่าเช่าจริง ๆ ที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ส่วนที่จะฟังว่าอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทนั้น เป็นเรื่องการฟ้องผู้อาศัยหรือบุคคลอื่นซึ่งมิได้กำหนดค่าเช่ากันไว้ คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าให้ออกจากตึกแถวพิพาท และตามสัญญาเช่ากำหนดค่าเช่าไว้ในอัตราเดือนละ 100 บาทซึ่งไม่เกินเดือนละสองพันบาท จึงต้องห้ามคู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าหากนำตึกแถวและที่ดินไปปรับปรุงแล้วนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000 บาท และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจะได้ค่าเช่าประมาณอัตราเดือนละ 4,000 บาท นั้น เป็นการกำหนดค่าเสียหายในอนาคตอันเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทเท่านั้น จะนำมาเป็นเกณฑ์พิจารณาคดีต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคสอง ไม่ได้
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1359 เมื่อมีบุคคลภายนอกมายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งอาจฟ้องร้องว่ากล่าวหรือต่อสู้คดีโดยลำพังได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในตึกแถวพิพาทที่ให้จำเลยเช่าไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป โจทก์ที่ 1 ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
แม้จำเลยจะไม่ได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์ที่ 1ก็ตาม แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากโจทก์ที่ 2 ย่อมต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าเดิมคือโจทก์ที่ 1 โดยตรง ตาม ป.พ.พ.มาตรา 545 ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดและโจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาทแล้วจำเลยก็มีหน้าที่ต้องส่งคืนตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง การที่จำเลยยังคงครอบครองตึกแถวพิพาทต่อไปอีกย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทไม่อาจใช้ประโยชน์จากตึกแถวพิพาทได้และโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยไม่สามารถส่งคืนตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 ได้ ฟ้องโจทก์ได้แสดงให้เห็นอยู่ในตัวแล้วว่าโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายอย่างไร เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6274/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินกรรมสิทธิ์รวมที่มิได้มีคู่สัญญาเป็นเจ้าของร่วม ผลกระทบต่อสิทธิเจ้าของร่วม
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลย โดย ว. ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพัน ว.โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของ ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3702/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินหลังหย่า: ที่ดินที่ซื้อก่อนสมรสและจดทะเบียนเป็นเจ้าของร่วมกันหลังสมรส
จำเลยฟ้องแย้งให้แบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินเท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์แบ่งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินด้วยเป็นการนอกเหนือคำฟ้องแย้งจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทด้วยเงินของโจทก์ก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลย หลังจากจดทะเบียนสมรสกันแล้วได้มีการจดทะเบียนลงชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์ เป็นพฤติการณ์ที่โจทก์มีเจตนาให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากัน ที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นสินสมรสต้องแบ่งกันระหว่างโจทก์และจำเลยคนละส่วน ดังนั้นจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหนึ่งในสี่ส่วน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องแย้งแบ่งมรดกไม่ขาดอายุความ แม้คดีเดิมยังไม่สิ้นสุด
จำเลยได้ครอบครองที่ดินและตึกพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งร่วมกันกับโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาทซึ่งตนเป็นเจ้าของร่วมได้ จะนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ
คดีนี้เป็นคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งถูกแยกพิจารณาคดีต่างหากจากคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ การพิจารณาและวินิจฉัยคดีตามฟ้องเดิมกับคดีตามฟ้องแย้งจะต้องแยกต่างหากจากกัน แม้คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี แต่คดีตามฟ้องเดิมยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฉะนั้น จะฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีตามฟ้องเดิมยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองสินสมรส: สิทธิเรียกร้องเงินจากการบังคับคดีขึ้นอยู่กับการที่ผู้รับจำนองไม่ทราบเจตนาเจ้าของร่วม
การที่ผู้ร้องอ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทอยู่ครึ่งหนึ่งและไม่ได้ยินยอมให้นำทรัพย์พิพาทส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองด้วยนั้น ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของผู้ร้องว่า โจทก์ผู้รับจำนองได้ทราบเช่นนั้นไม่ การจำนองจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพันทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วน เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับจำนองและศาลพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจำนองได้แล้วเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ ส่วนการที่จำเลยนำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้ร้องนั้น หากเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างไร ผู้ร้องก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกคดีเรื่องหนึ่งต่างหากจะมาร้องขอกันส่วนให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของร่วมไม่ต้องเสียสิทธิขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบ หากไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 มิได้จำกัดสิทธิผู้เป็นเจ้าของร่วมมิให้ร้องขอคืนทรัพย์ที่ตนเป็นเจ้าของร่วมที่ศาลสั่งริบ เจ้าของร่วมที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดจึงมีสิทธิร้องขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบในส่วนของตนได้กึ่งหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของร่วมมีสิทธิขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบ หากมิได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 มิได้จำกัดสิทธิผู้เป็นเจ้าของร่วมมิให้ร้องขอคืนทรัพย์ที่ตนเป็นเจ้าของร่วมที่ศาลสั่งริบ เจ้าของร่วมที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด จึงมีสิทธิร้องขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบในส่วนที่เป็นของตนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้คัดค้านการถอนการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย เมื่อมีเหตุเชื่อว่าทรัพย์สินเป็นของลูกหนี้หรือมีส่วนเป็นเจ้าของร่วม
บ.เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์ ต่อมารถยนต์คันพิพาทถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดเป็นทรัพย์ของลูกหนี้ในคดีล้มละลายซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง ป.เป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ได้ร้องขัดทรัพย์ ในการประชุมเจ้าหนี้คดีล้มละลายจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหนี้ผู้มีเสียงข้างมากคัดค้านการขอถอนการยึดรถยนต์คันพิพาท เมื่อปรากฏว่า ขณะที่ทำการยึดรถยนต์คันพิพาทอยู่ภายในบ้านของ ป.แม้ ม.อดีตภริยาของ ป.ซึ่งพักอาศัยอยู่ภายในบ้านดังกล่าวในขณะนั้นอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท รถยนต์คันพิพาทมิใช่ทรัพย์ของ ป. แต่ ม.ก็มิได้แสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทต่อเจ้าพนักงานผู้ไปทำการยึด พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวมีเหตุให้จำเลยที่ 2 เชื่อว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นของ ป. หรือ ป.มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับ ม.ด้วย จำเลยที่ 2 จึงชอบที่จะใช้สิทธิคัดค้านการขอให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาทได้ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปเพียงเพื่อต้องการจะกลั่นแกล้งโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิคัดค้านโดยไม่สุจริตจงใจ หรือประมาทเลินเล่อให้โจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของร่วมในสินสมรสประเภทเงินฝาก การไม่ยินยอมลงชื่อถือเป็นการโต้แย้งสิทธิ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีสินสมรสเป็นเงินฝากธนาคารจำนวนหนึ่ง จำเลยได้ถอนเงินจากธนาคารจนหมดสิ้น โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ และนำไปฝากไว้ที่ธนาคารอื่นโจทก์ขอให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ลงชื่อร่วมในบัญชีเงินฝาก แต่จำเลยไม่ยินยอมเป็นการขัดขวางการจัดการสินสมรสของโจทก์โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ขอให้ศาลสั่งแยกสินสมรสหรือให้โจทก์ลงชื่อร่วมในบัญชีเงินฝากเช่นนี้ แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะมิใช่กรณีที่โจทก์อาจร้องขอให้ศาลสั่งให้แยกสินสมรสได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1484เพราะจำเลยมิใช่ผู้มีอำนาจจัดการสินสมรสฝ่ายเดียวก็ตาม แต่โจทก์ก็ขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในบัญชีเงินฝากเพื่อการเบิกถอนเงินด้วย เงินฝากในธนาคารเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นสินสมรสจำพวกที่มีเอกสารเป็นสำคัญซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1475 ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในเอกสารนั้นได้ เมื่อจำเลยไม่ยินยอมกรณีจึงถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกิดขึ้นแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5559/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของร่วมในที่ดินจำนอง: การบังคับคดีตามคำพิพากษาและการกันส่วน
ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์อยู่ครึ่งหนึ่ง และไม่ได้ยินยอมให้จำเลยนำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองด้วย แต่โจทก์ผู้รับจำนองไม่ทราบ เนื่องจากจำเลยผู้จำนองมิได้แจ้งเรื่องนี้ การจำนองจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพัน ทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วน เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องบังคับจำนอง และศาลพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจำนอง โจทก์ย่อมมีสิทธิ ที่จะบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ ส่วนการที่จำเลย นำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองโดยไม่ได้รับความยินยอม ของผู้ร้อง หากเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างไร ผู้ร้องก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต่างหาก จะมาร้องขอกันส่วนให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจาก คำพิพากษาหาไม่ได้
of 27