พบผลลัพธ์ทั้งหมด 567 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5101/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบความเป็นมาของหนี้ตามสัญญา กู้ยืมเงิน ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์ และโจทก์นำสืบว่าจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์มาก่อนวันทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินโดยวิธีนำเช็คมาแลกเงินสดจากโจทก์หลายครั้ง แล้วรวมทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นจำนวนเงินตามฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คจากธนาคารได้เป็นหนังสือเพื่อให้ทราบถึงมูลเหตุที่จำเลยต้องทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์ อันเป็นการนำสืบถึงความเป็นมาแห่งหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน และเป็นข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าเหตุใดจำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้อง ไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร และไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4561/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้องและการมอบอำนาจรับเงิน: เจตนาคู่กรณีสำคัญกว่าข้อความในเอกสาร
พฤติการณ์ที่โจทก์ผู้รับจ้างตกลงกับบริษัท ค. ให้บริษัท ค. รับเงินค่าจ้างจากจำเลยผู้ว่าจ้างเพื่อนำมาชำระหนี้ที่โจทก์มีอยู่ต่อบริษัท ค. แล้วคืนเงินส่วนที่เหลือจากการหักชำระหนี้ให้โจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างที่จำเลยจ่ายไปทุกงวดให้แก่จำเลย แม้หนังสือเอกสารหมาย ล. 1 ที่โจทก์ทำกับบริษัท ค. จะใช้ข้อความว่าโจทก์โอนสิทธิรับเงินค่าจ้างให้แก่บริษัท ค. แต่ตามเจตนาของคู่กรณีดังกล่าวหาใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องกันไม่ เป็นเพียงโจทก์มอบอำนาจให้บริษัท ค. รับเงินแทนโจทก์เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4561/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้าง: เจตนาของคู่กรณีสำคัญกว่าข้อความในเอกสาร
พฤติการณ์ที่โจทก์ผู้รับจ้างตกลงกับบริษัท ค. ให้บริษัท ค. รับเงินค่าจ้างจากจำเลยผู้ว่าจ้างเพื่อนำมาชำระหนี้ที่โจทก์มีอยู่ต่อบริษัท ค. แล้วคืนเงินส่วนที่เหลือจากการหักชำระหนี้ให้โจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างที่จำเลยจ่ายไปทุกงวดให้แก่จำเลย แม้หนังสือเอกสารหมาย ล.1 ที่โจทก์ทำกับบริษัท ค. จะใช้ข้อความว่าโจทก์โอนสิทธิรับเงินค่าจ้างให้แก่บริษัท ค. แต่ตามเจตนาของคู่กรณีดังกล่าวหาใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องกันไม่เป็นเพียงโจทก์มอบอำนาจให้บริษัท ค. รับเงินแทนโจทก์เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4000/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารไม่ติดอากรแสตมป์-ไม่ส่งสำเนาเอกสาร ศาลรับฟังได้หากเป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโจทก์เป็นหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลได้รับการยกเว้นไม่ต้องติดอากรแสตมป์ตามมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์ในเอกสาร ก็รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้
โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารต่อศาลและส่งให้แก่จำเลยเป็นการล่วงหน้าตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 บัญญัติไว้ แต่เอกสารเหล่านั้นเป็นเพียงบันทึกประวัติการเช่าของจำเลย เป็นเอกสารแสดงรายละเอียดในการที่จำเลยไม่ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ระหว่างที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นหนังสือบอกเลิกการเช่าและให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้าง และเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เช่าอาคารข้างเคียงที่ทำธุรกิจเช่นเดียวกับจำเลยซึ่งเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานในคดีได้ตามมาตรา 87(2)
โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารต่อศาลและส่งให้แก่จำเลยเป็นการล่วงหน้าตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 บัญญัติไว้ แต่เอกสารเหล่านั้นเป็นเพียงบันทึกประวัติการเช่าของจำเลย เป็นเอกสารแสดงรายละเอียดในการที่จำเลยไม่ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ระหว่างที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นหนังสือบอกเลิกการเช่าและให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้าง และเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เช่าอาคารข้างเคียงที่ทำธุรกิจเช่นเดียวกับจำเลยซึ่งเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานในคดีได้ตามมาตรา 87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2905/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้เอกสารท้ายฟ้องเป็นหลักฐานมูลหนี้ การบรรยายรายละเอียดเอกสารในคำฟ้องไม่จำเป็น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งซื้อปูนสำเร็จรูปและน้ำยาผสมปูนไปจากโจทก์รวม13 ครั้ง เป็นเงิน 236,871.25 บาท โดยบรรยายรายละเอียดของการสั่งซื้อสินค้าแต่ละครั้งพร้อมจำนวนเงินค่าสินค้าตามเอกสารท้ายฟ้องและจำเลยได้รับสินค้าไปจากโจทก์แล้ว จำเลยไม่ชำระราคาค่าสินค้าภายในกำหนด ขอให้จำเลยชำระราคาค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยแจ้งชัดแล้ว แม้โจทก์จะแนบเอกสารใบกำกับภาษี อันเป็นหลักฐานแห่งมูลหนี้มาท้ายฟ้องก็เป็นเพียงเอกสารประกอบคำบรรยายฟ้อง โจทก์สามารถนำสืบถึงรายละเอียดของรายการตามเอกสารดังกล่าวได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดของเอกสารไว้ให้ปรากฏในคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของบริษัทประกันภัยตามกรมธรรม์ หากไม่ส่งเอกสารตามคำสั่งศาล ถือเป็นการยอมรับข้อกล่าวหา
โจทก์ทั้งสี่ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจากจำเลยที่ 2 เพื่อนำสืบว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเท่ากับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งเรียกพยานเอกสารแล้วไม่ยอมส่งกรมธรรม์ประกันภัยตามคำสั่งศาลและไม่นำสืบพยานให้เห็นเป็นอย่างอื่น ถือว่าข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่โจทก์ทั้งสี่ต้องนำสืบโดยกรมธรรม์ประกันภัยว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสี่เต็ม จำนวนเท่ากับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ได้ยอมรับแล้วตามป.วิ.พ. มาตรา 123 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นไม่ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเท่าที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดจึงไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยผู้รับประกันภัยต้องรับผิดค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนตามที่จำเลยผู้ก่อเหตุต้องรับผิด หากไม่ส่งเอกสารกรมธรรม์ตามคำสั่งศาล
โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุจากจำเลยที่ 2เพื่อนำสืบว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเท่ากับจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งเรียกพยานเอกสารแล้ว ไม่ยอมส่งกรมธรรม์ประกันภัยตามคำสั่งศาลและไม่นำสืบพยานให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงถือว่าข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่โจทก์ต้องนำสืบโดยกรมธรรม์ประกันภัยว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เต็มจำนวนเท่ากับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ได้ยอมรับแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 123 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8435/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยักยอกเช็ค - ความผิดฐานยักยอกทรัพย์และเอาไปเสียซึ่งเอกสาร - การคืนเงินที่ถูกยักยอก
ผู้เสียหายได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายนำไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ จำเลยเป็นผู้ครอบครองเช็คพิพาทในฐานะตัวแทนของผู้เสียหายและจำเลยมีหน้าที่ต้องนำเช็คพิพาทไปมอบให้แก่เจ้าหนี้ของผู้เสียหาย การที่จำเลยนำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อเรียกเก็บเงินและได้มีการเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทได้ ถือได้ว่าเป็นการเบียดบังเอาเช็คพิพาทของผู้เสียหายไปโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกเช็คพิพาท มิใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ และการที่จำเลยเอาเช็คพิพาทของผู้เสียหายไปเรียกเก็บเงินย่อมเป็นการทำให้เช็คพิพาทนั้นไร้ประโยชน์ที่จะใช้ได้อีก จึงเป็นความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ตาม ป.อ. มาตรา 188 อีกบทหนึ่ง ต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 188 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด
จำเลยยักยอกเช็คพิพาทของผู้เสียหายแล้วนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ผู้เสียหายย่อมจะต้องถูกธนาคารตามเช็คหักเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปตามจำนวนเงินที่สั่งจ่ายในเช็ค เท่ากับว่าผู้เสียหายต้องสูญเสียเงินจำนวนตามเช็คนั้นไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยโดยตรง พนักงานอัยการจึงมีสิทธิขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินตามเช็คแก่ผู้เสียหายได้ ตาม ป.วิ. อ. มาตรา 43
ตามคำร้องของผู้เสียหายที่ยื่นเข้ามาประกอบเพื่อขอให้ศาลอนุญาตปล่อยตัวจำเลยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ มิใช่เป็นการยอมความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
จำเลยยักยอกเช็คพิพาทของผู้เสียหายแล้วนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ผู้เสียหายย่อมจะต้องถูกธนาคารตามเช็คหักเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปตามจำนวนเงินที่สั่งจ่ายในเช็ค เท่ากับว่าผู้เสียหายต้องสูญเสียเงินจำนวนตามเช็คนั้นไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยโดยตรง พนักงานอัยการจึงมีสิทธิขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินตามเช็คแก่ผู้เสียหายได้ ตาม ป.วิ. อ. มาตรา 43
ตามคำร้องของผู้เสียหายที่ยื่นเข้ามาประกอบเพื่อขอให้ศาลอนุญาตปล่อยตัวจำเลยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ มิใช่เป็นการยอมความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6629/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาอุทธรณ์: ระยะเวลาเริ่มต้นนับจากวันที่ศาลอ่านคำพิพากษา ไม่ใช่เมื่อเอกสารครบถ้วน
ที่โจทก์ฎีกาว่าสิทธิพื้นฐานในการอุทธรณ์ควรมี 30 วัน เมื่อมีเอกสารครบถ้วนนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 กำหนดให้คู่ความยื่นอุทธรณ์ได้ภายในเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง กำหนดเวลาดังกล่าวย่อมหมายความว่าคู่ความที่ประสงค์จะอุทธรณ์ต้องดำเนินการต่าง ๆให้แล้วเสร็จตามกำหนด มิใช่เมื่อมีเอกสารครบถ้วนแล้วจึงเริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ตามที่โจทก์อ้างซึ่งไม่มีบทกฎหมายบทใดสนับสนุนหากโจทก์ได้รับสำเนาเอกสารในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ตามนัด โจทก์ก็จะมีเวลาสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ 12 วัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่โจทก์ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์และน่าจะเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับคดีที่ไม่ได้มีปัญหามากนักดังคดีนี้ การที่โจทก์อ้างว่าได้รับสำเนาเอกสารครบถ้วนในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ช้ากว่ากำหนดนัดไปเพียง 1 วัน จึงไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะเป็นเหตุสมควรขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้ตามที่โจทก์ขออีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6204/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงเกิน 500 บาท แม้ไม่มีเอกสารก็ฟ้องได้ หากมีข้อพิพาทเรื่องการชำระหนี้
การซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงเกินกว่า 500 บาท ที่มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว เข้ากรณีตามป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง และวรรคสาม ซึ่งฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แม้ไม่มีเอกสารมาแสดง เมื่อมีปัญหาว่าจำเลยชำระเงินตาม สัญญาซื้อขายครบถ้วนแล้วหรือไม่ โจทก์จึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบได้ มิใช่เป็นการสืบพยานเพื่อเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94