พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,971 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7285/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจอดรถในที่มืดโดยประมาทและการหลบหนีหลังเกิดอุบัติเหตุ ไม่ผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก แต่ยังคงมีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) และมาตรา 78 วรรคหนึ่ง ประสงค์ที่จะลงโทษผู้ขับขี่ซึ่งขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และลงโทษผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที หาใช่กรณีผู้ขับรถที่จอดรถอยู่ไม่
จำเลยกระทำโดยประมาทจอดรถยนต์บนถนนในที่มืดโดยไม่เปิดสัญญาณไฟและไม่ทำสัญญาณแสดงว่ามี รถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้ผู้ตายทั้งสองซึ่งขับรถจักรยานยนต์นั่งซ้อนท้ายกันมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลย แล้วจำเลยหลบหนีไป การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 78 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์ฟ้อง แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225
จำเลยกระทำโดยประมาทจอดรถยนต์บนถนนในที่มืดโดยไม่เปิดสัญญาณไฟและไม่ทำสัญญาณแสดงว่ามี รถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้ผู้ตายทั้งสองซึ่งขับรถจักรยานยนต์นั่งซ้อนท้ายกันมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลย แล้วจำเลยหลบหนีไป การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 78 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์ฟ้อง แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7285/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจอดรถในที่มืดโดยไม่เปิดสัญญาณไฟ และหลบหนีหลังเกิดเหตุ ไม่ผิดตาม พ.ร.บ.จราจร แต่ยังคงมีความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) และมาตรา 78 วรรคหนึ่ง ประสงค์ที่จะลงโทษผู้ขับขี่ขณะขับรถมิใช่กรณีจอดรถอยู่ การที่จำเลยกระทำโดยประมาทจอดรถยนต์บนถนนในมืดโดยไม่เปิดสัญญาไฟและไม่ทำสัญญาณแสดงว่ามีรถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้ผู้ตายซึ่งขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลย แล้วจำเลยหลบหนีไป จึงไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 43(4),78 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7276/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดในเช็ค: การบรรยายฟ้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทำให้ศาลต้องยกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ค่าเช่ารถยนต์เป็นการส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค แต่ข้อเท็จจริงในทางนำสืบปรากฏว่าเช็คดังกล่าว บริษัท ว. เป็นผู้ออกเพื่อชำระค่าเช่ารถยนต์แก่ผู้เสียหาย จำเลยลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทในฐานะกรรมการของบริษัท ว. เท่านั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทเป็นการส่วนตัว อีกทั้งคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็มิได้บรรยายว่าจำเลยต้องร่วมรับผิดกับบริษัท ว. ฐานตัวการ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7276/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดตามเช็ค: การลงลายมือชื่อในฐานะกรรมการบริษัท ไม่ใช่การรับผิดส่วนตัว
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ผู้เสียหายเป็นการส่วนตัว มิใช่เป็นการทำแทนนิติบุคคล แต่ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบโจทก์กลับปรากฏว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คส่วนหนึ่งที่บริษัท ว. เป็นผู้ออกเพื่อชำระค่าเช่ารถเบ็นซ์จากผู้เสียหาย จำเลยลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทในฐานะกรรมการของบริษัท ว. เท่านั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทเป็นการส่วนตัว ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ก็มิได้บรรยายให้จำเลยร่วมรับผิดกับบริษัท ว. ฐานตัวการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7174/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของผู้ประกอบการคาร์แคร์ในการส่งมอบรถยนต์ให้บุคคลอื่นโดยไม่ตรวจสอบ
การรับรถยนต์ไว้เพื่อล้างทำความสะอาดโดยจำเลยมิได้ออกใบรับให้แก่ จ. ผู้นำรถยนต์มาล้าง ตามวิสัยของผู้ประกอบการดังกล่าวควรจะคืนรถยนต์ให้แก่ผู้นำรถยนต์มาล้างเท่านั้น หรือสอบถามให้ได้ความแน่ชัดเสียก่อนจึงจะมอบรถยนต์ให้ผู้อื่นไป พฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นแต่จำเลยหาได้ใช้เพียงพอไม่จึงเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7108/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของพนักงานต่อความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อในการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สิน
ตู้นิรภัยมีลูกกุญแจใช้ประจำรวม 2 ดอก โดยจะต้องไขพร้อมกันจึงจะเปิดตู้นิรภัยได้ และมีระเบียบว่าด้วย การรับ การจ่าย การเก็บรักษา และการนำส่งเงิน กำหนดให้หัวหน้ากองคือโจทก์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยการเงินหรือผู้ที่หัวหน้ากองมอบหมายถือกุญแจไว้ 1 ดอก และหัวหน้าหน่วยการเงินถือไว้ 1 ดอก ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดถือพร้อมกันทั้ง 2 ดอก แต่โจทก์ไม่ได้ถือลูกกุญแจไว้เลย กลับได้มอบให้ น.ผู้ใต้บังคับบัญชาเก็บไว้ทั้ง 2 ดอก โดยโจทก์มิได้ให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาถือกุญแจแยกไว้คนละดอกตามระเบียบ ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์สามารถใช้ความระมัดระวังปฏิบัติให้ ถูกต้องตามระเบียบได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การที่โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบดังกล่าวจนเป็นเหตุให้คนร้ายสามารถจี้บังคับ น.ให้เปิดตู้นิรภัยเอาเงินที่เก็บไว้ไปได้ จึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ มิใช่เหตุสุดวิสัย โจทก์จึงต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น
การที่พนักงานฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลย แม้จำเลยผู้เป็นนายจ้างจะไม่คัดค้าน ก็ไม่ทำให้การ ฝ่าฝืนระเบียบนั้นกลับกลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยระเบียบขึ้นมาไม่ เมื่อโจทก์ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยจน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย โจทก์ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่จำเลย
การที่พนักงานฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลย แม้จำเลยผู้เป็นนายจ้างจะไม่คัดค้าน ก็ไม่ทำให้การ ฝ่าฝืนระเบียบนั้นกลับกลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยระเบียบขึ้นมาไม่ เมื่อโจทก์ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยจน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย โจทก์ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7066/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์: เหตุสุดวิสัยต้องมีจริง ผู้ถูกกล่าวหาต้องขวนขวายติดตามคดีด้วยตนเอง
ที่จำเลยอ้างว่า ได้มอบคดีและค่าทนายความให้ อ.ทนายความดำเนินการยื่นอุทธรณ์ให้แล้ว แต่ อ.มิได้ ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดและไม่แจ้งให้จำเลยทราบ ทั้งจำเลยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้านคดี แต่จำเลยจบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ มีวุฒิภาวะพอที่จะเข้าใจได้ว่าผลของการคำพิพากษากระทบต่อเสรีภาพของตน จำเลยน่าจะต้องขวนขวายติดตามคดีเพื่อรักษาสิทธิและประโยชน์ของตนแต่กลับมิได้ใส่ใจหรือขวนขวาย ทั้งข้ออ้างว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้านคดีความ ก็มิใช่เหตุที่ยกขึ้นอ้างได้ และการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดก็เป็นข้อผิดพลาดบกพร่องของทนายความ มิใช่เหตุสุดวิสัยจึงไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6845/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งทางทะเลตาม พรบ.รับขนฯ และข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีทรัพย์สินทางปัญญา
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ถูกต้อง พยานบุคคลหรือพยานเอกสารไม่มีข้อใดที่บ่งชี้ได้ถึงขนาดที่ศาลจะรับฟังได้ว่า สินค้าพิพาทในคดีนี้เสียหาย หรือความเสียหายได้เกิดขึ้นในระหว่างที่สินค้าอยู่ในความดูแลของจำเลย และจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าพิพาท เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 200,000 บาท อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 41
เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งและจำเลยที่ 3 ผู้ขนส่งอื่นต้องร่วมกันรับผิดเพื่อความเสียหายแก่สินค้าพิพาทและ ตามใบตราส่งสินค้าพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ส่งของระบุว่าสินค้าพิพาทเป็นเคมีภัณฑ์สำหรับผลิตแชมพูจำนวน 34 ถัง และ 10 ถังตามลำดับ จึงเป็นกรณีที่มีการระบุจำนวนและลักษณะของหน่วยการขนส่งไว้ในใบตราส่ง ต้องถือว่า สินค้าพิพาทมีจำนวนหน่วยการขนส่งเป็นถังตามที่ระบุไว้ ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 59 (1) ส่วนใบตราส่งที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นออกให้แก่บริษัท ฮ. ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นที่มาว่าจ้างจำเลยที่ 3 ให้ขนส่งสินค้าพิพาทอีกทอดหนึ่ง เป็นใบตราส่งที่ออกให้ระหว่าง ผู้ขนส่งอื่นด้วยกัน หาอาจนำมาใช้ยันผู้ส่งของได้ไม่
เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งและจำเลยที่ 3 ผู้ขนส่งอื่นต้องร่วมกันรับผิดเพื่อความเสียหายแก่สินค้าพิพาทและ ตามใบตราส่งสินค้าพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ส่งของระบุว่าสินค้าพิพาทเป็นเคมีภัณฑ์สำหรับผลิตแชมพูจำนวน 34 ถัง และ 10 ถังตามลำดับ จึงเป็นกรณีที่มีการระบุจำนวนและลักษณะของหน่วยการขนส่งไว้ในใบตราส่ง ต้องถือว่า สินค้าพิพาทมีจำนวนหน่วยการขนส่งเป็นถังตามที่ระบุไว้ ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 59 (1) ส่วนใบตราส่งที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นออกให้แก่บริษัท ฮ. ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นที่มาว่าจ้างจำเลยที่ 3 ให้ขนส่งสินค้าพิพาทอีกทอดหนึ่ง เป็นใบตราส่งที่ออกให้ระหว่าง ผู้ขนส่งอื่นด้วยกัน หาอาจนำมาใช้ยันผู้ส่งของได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6837/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอกภาษี: กรรมการร่วมกระทำผิดกับนิติบุคคล ต้องรับผิดตามกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7), 86/13, 77/1 ป.อ. มาตรา 83 เมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน และเป็นผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอมในนามของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 อันจะต้องรับผิดตาม ป.อ. มาตรา 83 อยู่แล้ว กรณีจึงไม่ต้องอาศัยความในบทบัญญัติมาตรา 90/5 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นบทสันนิษฐานให้กรรมการหรือผู้แทนนิติบุคคล ต้องรับโทษฐานนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6826/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับขนส่งกรณีส่งมอบสินค้าผิดมือโดยไม่มีการเวนคืนใบตราส่ง และการแก้ไขคำพิพากษาให้ชำระเป็นเงินไทย
โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ขนส่งสินค้าโดยเรือซินาร์ บาลี และเรือเอ็นวายเคไกจากท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ไปยังเมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ และปลายทางสุดท้ายที่เมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ ขณะสินค้ายังขนส่งไปไม่ถึงเมืองเซาแธมป์ตัน โจทก์ได้แจ้งจำเลยไม่ให้ปล่อยสินค้าแก่ผู้ใด ต่อมาเรือเอ็นวายเคไกเดินทางไปถึงเมืองเซาแธมป์ตัน และจำเลยตกลงเก็บสินค้าของโจทก์ไว้ที่คลังสินค้าของบริษัทตัวแทนจำเลย การที่บริษัทดังกล่าวได้ส่งมอบสินค้าของโจทก์ให้แก่บริษัทผู้ซื้อสินค้าจากโจทก์ โดยไม่ได้รับเวนคืนใบตราส่งเนื่องจากใบตราส่งอยู่ที่โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
สำเนาคำสั่งศาลของประเทศอังกฤษเอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยอ้างเป็นเพียงสำเนา ไม่ปรากฏว่ามีการรับรอง สำเนาเอกสารจากผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องและโจทก์ไม่ได้ตกลงด้วยว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้อง ทั้งจำเลยก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าเหตุที่อ้างส่งต้นฉบับไม่ได้เพราะเหตุใด เอกสารที่จำเลยอ้างนี้จึงต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า สินค้าในคดีนี้มีน้ำหนักเบ็ดเสร็จ 9,036.50 กิโลกรัม ซึ่งตามมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ให้จำกัดความรับผิดของจำเลยผู้ขนส่งไว้เพียง 27,095 บาท เป็นเรื่องนอกประเด็น เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีในเรื่องนี้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
โจทก์มีคำขอท้ายคำฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคาสินค้าเป็นเงินไทย การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเป็นเงินต่างประเทศ เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
สำเนาคำสั่งศาลของประเทศอังกฤษเอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยอ้างเป็นเพียงสำเนา ไม่ปรากฏว่ามีการรับรอง สำเนาเอกสารจากผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องและโจทก์ไม่ได้ตกลงด้วยว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้อง ทั้งจำเลยก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าเหตุที่อ้างส่งต้นฉบับไม่ได้เพราะเหตุใด เอกสารที่จำเลยอ้างนี้จึงต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า สินค้าในคดีนี้มีน้ำหนักเบ็ดเสร็จ 9,036.50 กิโลกรัม ซึ่งตามมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ให้จำกัดความรับผิดของจำเลยผู้ขนส่งไว้เพียง 27,095 บาท เป็นเรื่องนอกประเด็น เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีในเรื่องนี้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
โจทก์มีคำขอท้ายคำฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคาสินค้าเป็นเงินไทย การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเป็นเงินต่างประเทศ เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์