คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ช่วยเหลือ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 309 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำผิดอาญา: จำเลยไม่มีเจตนาช่วยเหลือผู้กระทำผิดและไม่สามารถเล็งเห็นผลการกระทำ
ก. ถูกผู้ตายพูดดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ ก. มิได้แสดงอาการโกรธแค้นหรือพูดตอบโต้ เพียงแต่ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปมาเท่านั้น การที่ผู้ตายพูดเสียงดังจนอาจทำให้จำเลยซึ่งดูโทรทัศน์อยู่บนบ้านได้ยินนั้น ก็เป็นเพียงความคาดเดาของบุคคลอื่นที่อยู่ด้วย จำเลยดูโทรทัศน์ก็ย่อมมีเสียงจากโทรทัศน์ดังอยู่แล้ว เสียงพูดของผู้ตายถึงแม้จะดังขึ้นไปถึงข้างบนบ้าน แต่ก็ไม่น่าจะทำให้จำเลยได้ยินจนจับใจความได้ เพียงแต่รู้ว่ามีเสียงพูดดังผิดปกติ จำเลยจึงลงมาสอบถามว่ามีเรื่องอะไรกัน เมื่อ ก. ถามถึงขวานตัดไม้ จำเลยก็หยิบส่งให้ ขณะนั้น ก. มิได้มีอาการโกรธแค้นจะทำร้ายผู้ตาย แต่เมื่อ ก. ได้ขวานแล้ว ก. ก็ใช้ขวานฟันผู้ตายโดยบุคคลอื่นไม่คาดคิด การที่ ก. ฟันผู้ตายในทันทีเป็นสิ่งที่จำเลยย่อมไม่อาจเล็งเห็นผลหรือประสงค์ต่อผลเช่นนั้น เพราะจำเลยเพิ่งลงมาจากบนบ้านเพื่อสอบถามถึงเสียงเอะอะโวยวายผิดปกติ บุคคลอื่นๆ ซึ่งรับรู้เหตุการณ์มาโดยตลอดก็ยังไม่คาดคิดว่า ก. จะใช้ขวานฟันผู้ตาย เพราะ ก. ไม่แสดงอาการโกรธแค้นให้เห็น เมื่อเกิดเหตุแล้วก็เป็นธรรมดาที่จำเลยต้องพา ก. ออกไปจากที่เกิดเหตุ เนื่องจาก ก. กระทำความผิดร้ายแรง อาจมีญาติพี่น้องของผู้ตายทำร้าย ก. ได้พยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ก. ใช้ขวานฟันผู้ตาย จำเลยจึงไม่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของ ก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 158/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมฆ่าผู้อื่น: การส่งมีดและให้กำลังใจถือเป็นเจตนาช่วยเหลือการกระทำผิด
การที่จำเลยทั้งสองเดินมาที่กลุ่มผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ใช้ขวดสุราตีที่ศีรษะผู้ตาย 1 ครั้ง ผู้ตายลุกขึ้นยืน จำเลยที่ 2 ส่งมีดปลายแหลมให้จำเลยที่ 1 พร้อมกับพูดให้จำเลยที่ 1 แทงผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็รับมีดปลายแหลมจากจำเลยที่ 2 มาแทงผู้ตายที่บริเวณหน้าอก 1 ครั้ง แล้วจำเลยทั้งสองหลบหนีไปด้วยกัน ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายด้วย หาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11149/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขับขี่ที่ก่อเหตุแล้วไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและหลบหนี มีองค์ประกอบความผิดฟ้องได้
คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ว่า ภายหลังจากที่จำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ก. แล้ว จำเลยซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถในทางและก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่นดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ก. แล้ว มิได้หยุดให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บตามสมควร และมิได้นำเหตุที่เกิดไปแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีโดยจำเลยหลบหนีไป และขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78, 160 ซึ่งครบองค์ประกอบความผิดตามมาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยแล้ว ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า มิได้หยุดให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บตามสมควร โดยไม่ได้บรรยายว่าหยุดอะไรนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องตอนต้นแล้วว่า จำเลยเป็นผู้ขับขี่รถในทางและก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าจำเลยมิได้หยุดรถให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาตามฟ้องได้ดี จึงมิใช่ฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด ฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสวงหาประโยชน์จากผู้มีอรรถคดีในศาล ละเมิดอำนาจศาล
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และที่ 2 เป็นนายหน้าให้แก่ผู้ที่มายื่นประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ศาลชั้นต้น ย่อมจะทราบกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ดีกว่าผู้กล่าวหาซึ่งเป็นเพียงชาวบ้าน หากผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และที่ 2 มีความสุจริตใจที่จะช่วยเหลือผู้กล่าวหาเพียงขอค่าตอบแทนจากการช่วยดำเนินการดังกล่าว ก็ไม่ควรที่จะเรียกเอาค่าตอบแทนเป็นจำนวนที่สูงจนเกินสมควร ทั้งควรที่จะพาผู้กล่าวหาไปติดต่อขอใช้บริการประกันอิสรภาพจากบริษัท ว. ซึ่งก็อยู่ที่ศาลชั้นต้นด้วยตนเอง แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และที่ 2 หาได้กระทำไม่ อันมีลักษณะเป็นการปกป้องด้วยเกรงว่าผู้กล่าวหาจะทราบค่าใช้จ่ายที่เป็นจริง ทำให้ผู้กล่าวหาที่ไม่ทราบความจริงต้องยอมจ่ายเงินไปในจำนวนสูงเกินสมควร โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และที่ 2 ได้รับเงินส่วนต่างหลังจากหักชำระค่าตอบแทนจากการชำระค่าเบี้ยประกันภัยถึง 16,232 บาท ซึ่งมิใช่เป็นเพียงการให้ค่าตอบแทนจากการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกอย่างธรรมดาทั่วไป การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้จากผู้มีอรรถคดีและได้กระทำในศาลชั้นต้นจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 31 (1), 33 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 919/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การช่วยเหลือป้องกันผู้อื่นจากภยันตรายและการใช้กำลังพอสมควรแก่เหตุ
จำเลยที่ 2 เข้าไปกอดรัด ป. หลังจากที่ถูก ป. ใช้ขวดตีที่บริเวณศีรษะ แต่ ป. ยังไม่หยุดทำร้ายโดยใช้ปากกัดที่บริเวณแขนของจำเลยที่ 2 และยังใช้มือบีบคอจำเลยที่ 2 ด้วย ย่อมเป็นการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิเข้าช่วยเหลือป้องกันจำเลยที่ 2 ให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายนั้นได้ การที่จำเลยที่ 1 ใช้ค้อนตีศรีษะ ป. 3 ถึง 4 ครั้ง เป็นเพียงแผลแตกแสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตีเต็มกำลังให้ถึงตาย แต่จำเลยที่ 1 กระทำเพื่อให้ ป. หยุดทำร้ายและปล่อยตัวจำเลยที่ 2 เท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันจำเลยที่ 2 พอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดช่วยเหลือคนต่างด้าว: ความรู้เรื่องการเข้าเมืองผิดกฎหมายแสดงในตัวการกระทำ
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยรู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 แต่การที่ฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยได้บังอาจช่วยเหลือซ่อนเร้นคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 อันเป็นการช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวดังกล่าวพ้นจากการจับกุมก็ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยรู้ว่าคนต่างด้าวนั้นเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง และเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน กรณีประกอบการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาต และช่วยเหลือคนต่างด้าว
การที่จำเลยขับรถยนต์กระบะโดยสารขนส่งคนโดยสารเป็นการประกอบการขนส่งไม่ประจำทางโดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นความผิดสำเร็จกรรมหนึ่งตั้งแต่จำเลยขับรถรับคนโดยสาร และการที่จำเลยรับคนต่างด้าวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เป็นการช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม แม้เหตุการณ์ที่จำเลยถูกจับกุมจะเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันกับการกระทำความผิดฐานแรกก็ตาม แต่ลักษณะแห่งการกระทำสามารถแยกส่วนจากกันได้ จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2897-2898/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์: ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ส่งและรับตัวผู้กระทำผิด
การขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 1 มาส่งยังสถานที่ลักทรัพย์ แล้วนัดหมายกำหนดเวลากันว่าจะขับรถจักรยานยนต์มารับกลับเมื่อใดนั้น ถือได้ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 5 ได้กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ก่อนและขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 3 และที่ 5 จึงไม่เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์แต่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 5 ในความผิดดังกล่าว ตามที่ได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8973/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานช่วยเหลือการนำเข้าของเถื่อน โดยการฟ้องยึดทรัพย์แล้วประมูลซื้อเองเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 20 และมาตรา 120 มิได้มีข้อความตอนใดที่ระบุเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบ หรือระบุว่าหน้าที่นำสืบตกอยู่แก่ฝ่ายจำเลย ฉะนั้นเรื่องหน้าที่นำสืบและการวินิจฉัยพยานหลักฐานย่อมเป็นไปตามหลักที่ใช้ทั่วไปแก่คดีอาญาทั้งปวง คือโจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 1 และจะลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังโดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยที่ 1 วางแผนการฟ้องคดีเพื่อให้มีการยึดทรัพย์รถยนต์ของกลางซึ่งนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้เสียอากรออกขายทอดตลาด แล้วจำเลยที่ 1 เข้าสู้ราคาแต่เพียงผู้เดียว เมื่อประมูลซื้อจากการขายทอดตลาดได้ ก็นำไปจดทะเบียนเพื่อให้ได้ทะเบียนรถยนต์ใหม่แล้วนำไปขายต่อ ถือได้ว่าเป็นการช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7453/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้สนับสนุนการกระทำความผิดลักทรัพย์: การรออยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุและไม่สามารถช่วยเหลือได้ ไม่ถือเป็นตัวการร่วม
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์นำจำเลยที่ 2 และ ด. มาที่เกิดเหตุแล้วรออยู่ จากนั้นบุคคลทั้งสองได้ปีนกำแพงเข้าไปแล้วลักลวดทองแดงของกลางภายในบริษัทผู้เสียหายนั้น เห็นได้ว่าบริเวณที่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่มีการลักทรัพย์ประมาณ 70 เมตร ไม่สามารถมองเห็นภายในบริษัทผู้เสียหายที่เกิดเหตุได้ และไม่สามารถช่วยเหลือ ด. และจำเลยที่ 2 ได้ทันท่วงที ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ให้ความร่วมมือโดยใกล้ชิดกับการที่ ด. และจำเลยที่ 2 ลักทรัพย์ของบริษัทผู้เสียหาย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิด การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกก่อนที่ ด. และจำเลยที่ 2 กระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของ ด. และจำเลยที่ 2
คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 และกรณีนี้เป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาลดโทษตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ด้วย
of 31