พบผลลัพธ์ทั้งหมด 532 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783-1799/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คเพื่อประกัน ไม่ถือเป็นเจตนาทุจริตตาม พ.ร.บ.เช็ค หากตกลงกันไม่ให้ขึ้นเงิน
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ร่วมให้สินเชื่อซื้อยาปราบศัตรูฝ้ายและพืช โดยเมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามเช็คจำเลยจะซื้อดราฟท์ส่งไปให้โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็จะคืนเช็คพิพาทให้ ดังนี้ แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 ไม่ ข้อความในมาตรา 3(1) ที่ว่า "โดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค" ย่อมเป็นความผิดหมายความว่าเมื่อออกเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายต้องมีเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินในเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินหาได้หมายความว่าหากคู่กรณีตกลงกันไม่ให้นำเช็คไปขึ้นก็จะต้องเป็นความผิดไปด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783-1799/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คเพื่อประกัน ไม่ถือเป็นเจตนาทุจริตตาม พ.ร.บ. เช็ค หากตกลงกันไม่ขึ้นเงิน
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ร่วมให้สินเชื่อซื้อยาปราบศัตรูและพืช โดยเมื่อถึงหนดชำระเงินตามเช็คจำเลยจะซื้อดราฟท์ส่งไปให้โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็จะคืนเช็คพิพาทให้ ดังนี้ แม้ธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 ไม่ ข้อความในมาตรา 3(1) ที่ว่า "โดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค" ย่อมเป็นความผิดหมายความว่าเมื่อออกเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายต้องมีเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินในเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินหาได้หมายความว่าหากคู่กรณีตกลงกันไม่ให้นำเช็คไปขึ้นก็จะต้องเป็นความผิดไปด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สรรพากรจังหวัดละเลยการตรวจตัดปีภาษี ทำให้เกิดการทุจริตและเสียหายต่อรัฐ
โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยที่ 3 ได้ละเลยไม่ควบคุมตรวจตราในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และของ ส.เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและทำให้ ส.ทุจริตยักยอกเงินไปตามจำนวนในฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย แม้ฟ้องโจทก์จะไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 3 ไม่ตรวจแบบรายการเสียภาษีบัญชีงบเดือน เงินผลประโยชน์ของแผ่นดินฉบับใด เดือนใด ปีใด จำนวนเท่าใด ไม่ตรวจตัดปีที่ไหน ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบ ทั้งจำเลยที่ 3 ก็ให้การต่อสู้คีดได้โดยไม่ผิดหลง ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่เคลือบคลุม
เงินที่ ส.เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอยักยอกไป เป็นเงินภาษีอากรซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บตามกฎหมาย กรมสรรพากรเป็นหน่วยราชการขึ้นต่อกระทรวงการคลังโจทก์ เมื่อ ส. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในบังคับบัญชาของโจทก์จัดเก็บเงินภาษีอากรดังกล่าวมาได้ ย่อมเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับเงินนี้
การมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนั้น ย่อมรวมถึงมอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อไปหลังจากฟ้องคดีแล้วด้วย
กรณีข้าราชการกระทำละเมิดต่อทางราชการนั้น จะถือว่ากรมหรือกระทรวงเจ้าสังกัดรู้การละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นในกรมหรือกระทรวงเสนอความเห็นหาได้ไม่ ต้องนับตั้งแต่วันที่อธิบดีหรือรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องราวและความเห็นนั้นแล้ว ส. เป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากรยักยอกทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรเป็นนิติบุคคล มีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ฉะนั้นถ้ากรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนมาเกินหนึ่งปีแล้วไม่มีการฟ้องร้อง คดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 กรมสรรพากรเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ถ้ากระทรวงการคลังมาเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ก็ต้องถือว่าขาดอายุความเช่นเดียวกัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2505) อธิบดีกรมสรรพากรกับ อ.ก.พ.กรมได้ประชุมกัน 3 ครั้ง เพื่อพิจารณาหาตัวผู้จะต้องรับผิดในทางแพ่ง กรณี ส.ยักยอกทรัพย์ ในการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แสดงว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้ต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ในวันเสร็จสิ้นการประชุมครั้งสุดท้ายนั่นเอง เมื่อกรมสรรพากรรายงานมติการประชุมไปยังกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วสั่งให้จำเลยที่ 3 รับผิดด้วย และได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้ภายในหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ยังไม่ขาดอายุความ
กรมสรรพากรได้กำหนดวิธีการตรวจตัดปีไว้ให้ตรวจเป็นรายเดือน มีรายละเอียดวิธีตรวจเป็นข้อ ๆ และระบุให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบ ส.เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอได้เริ่มทำการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากรที่ ส.รับชำระไว้ไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปลายปี พ.ศ. 2505 ถ้าจำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดปฏิบัติการตรวจตัดปีตามวิธีการที่กำหนดทุกเดือน ก็จะทราบว่ายอดเงินในแบบรายการเสียภาษีกับยอดเงินที่เก็บได้ในเดือนหนึ่ง ๆ ไม่ตรงกัน และเหตุที่ไม่ตรงกันก็เพราะ ส.ได้กระทำการทุจริต แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจตัดปีเป็นรายเดือนตามระเบียบ จึงเพิ่งตรวจพบยอดเงินไม่ตรงกันในปลายปี พ.ศ. 2505 แม้จำเลยที่ 3 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นทำการตรวจสอบแทนก็ตาม จำเลยที่ 3 ผู้เป็นสรรพากรจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และของ ส. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง เพราะจำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ควบคุมการเก็บหรือรับเงินผลประโยชน์ จะต้องไม่ละเลยการตรวจตราในหน้าที่ตามระเบียบการที่ได้วางไว้ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินภาษีอากรที่โจทก์จะพึงได้รับ ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
เงินที่ ส.เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอยักยอกไป เป็นเงินภาษีอากรซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บตามกฎหมาย กรมสรรพากรเป็นหน่วยราชการขึ้นต่อกระทรวงการคลังโจทก์ เมื่อ ส. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในบังคับบัญชาของโจทก์จัดเก็บเงินภาษีอากรดังกล่าวมาได้ ย่อมเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับเงินนี้
การมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนั้น ย่อมรวมถึงมอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อไปหลังจากฟ้องคดีแล้วด้วย
กรณีข้าราชการกระทำละเมิดต่อทางราชการนั้น จะถือว่ากรมหรือกระทรวงเจ้าสังกัดรู้การละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นในกรมหรือกระทรวงเสนอความเห็นหาได้ไม่ ต้องนับตั้งแต่วันที่อธิบดีหรือรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องราวและความเห็นนั้นแล้ว ส. เป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากรยักยอกทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรเป็นนิติบุคคล มีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ฉะนั้นถ้ากรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนมาเกินหนึ่งปีแล้วไม่มีการฟ้องร้อง คดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 กรมสรรพากรเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ถ้ากระทรวงการคลังมาเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ก็ต้องถือว่าขาดอายุความเช่นเดียวกัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2505) อธิบดีกรมสรรพากรกับ อ.ก.พ.กรมได้ประชุมกัน 3 ครั้ง เพื่อพิจารณาหาตัวผู้จะต้องรับผิดในทางแพ่ง กรณี ส.ยักยอกทรัพย์ ในการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แสดงว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้ต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ในวันเสร็จสิ้นการประชุมครั้งสุดท้ายนั่นเอง เมื่อกรมสรรพากรรายงานมติการประชุมไปยังกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วสั่งให้จำเลยที่ 3 รับผิดด้วย และได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้ภายในหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ยังไม่ขาดอายุความ
กรมสรรพากรได้กำหนดวิธีการตรวจตัดปีไว้ให้ตรวจเป็นรายเดือน มีรายละเอียดวิธีตรวจเป็นข้อ ๆ และระบุให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบ ส.เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอได้เริ่มทำการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากรที่ ส.รับชำระไว้ไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปลายปี พ.ศ. 2505 ถ้าจำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดปฏิบัติการตรวจตัดปีตามวิธีการที่กำหนดทุกเดือน ก็จะทราบว่ายอดเงินในแบบรายการเสียภาษีกับยอดเงินที่เก็บได้ในเดือนหนึ่ง ๆ ไม่ตรงกัน และเหตุที่ไม่ตรงกันก็เพราะ ส.ได้กระทำการทุจริต แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจตัดปีเป็นรายเดือนตามระเบียบ จึงเพิ่งตรวจพบยอดเงินไม่ตรงกันในปลายปี พ.ศ. 2505 แม้จำเลยที่ 3 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นทำการตรวจสอบแทนก็ตาม จำเลยที่ 3 ผู้เป็นสรรพากรจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และของ ส. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง เพราะจำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ควบคุมการเก็บหรือรับเงินผลประโยชน์ จะต้องไม่ละเลยการตรวจตราในหน้าที่ตามระเบียบการที่ได้วางไว้ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินภาษีอากรที่โจทก์จะพึงได้รับ ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สรรพากรจังหวัดประมาทเลินเล่อไม่ตรวจตัดปีภาษี ทำให้เกิดการทุจริตและเสียหายต่อภาษีอากร
โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยที่ 3 ได้ละเลยไม่ควบคุมตรวจตราในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่2 และของ ส.เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและทำให้ ส. ทุจริตยักยอกเงินไปตามจำนวนในฟ้องการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหายแม้ฟ้องโจทก์จะไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 3 ไม่ตรวจแบบรายการเสียภาษีบัญชีงบเดือนเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินฉบับใด เดือนใด ปีใด จำนวนเท่าใด ไม่ตรวจตัดปีที่ไหน ก็เป็นแต่เพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบทั้งจำเลยที่ 3 ก็ให้การต่อสู้คดีได้โดยไม่ผิดหลง ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่เคลือบคลุม
เงินที่ ส. เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอยักยอกไป เป็นเงินภาษีอากรซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บตามกฎหมายกรมสรรพากรเป็นหน่วยราชการขึ้นต่อกระทรวงการคลังโจทก์ เมื่อ ส. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในบังคับบัญชาของโจทก์จัดเก็บเงินภาษีอากรดังกล่าวมาได้ ย่อมเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับเงินนี้
การมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนั้น ย่อมรวมถึงมอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อไปหลังจากฟ้องคดีแล้วด้วย
กรณีข้าราชการกระทำละเมิดต่อทางราชการนั้น จะถือว่ากรมหรือกระทรวงเจ้าสังกัดรู้การละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นในกรมหรือกระทรวงเสนอความเห็นหาได้ไม่ ต้องนับตั้งแต่วันที่อธิบดีหรือรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องราวและความเห็นนั้นแล้วส. เป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากรยักยอกทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรเป็นนิติบุคคล มีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ฉะนั้นถ้ากรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนมาเกินหนึ่งปีแล้วไม่มีการฟ้องร้องคดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 กรมสรรพากรเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ถ้ากระทรวงการคลังมาเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ก็ต้องถือว่าขาดอายุความเช่นเดียวกัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2505) อธิบดีกรมสรรพากรกับ อ.ก.พ.กรม ได้ประชุมกัน 3 ครั้ง เพื่อพิจารณาหาตัวผู้จะต้องรับผิดในทางแพ่ง กรณี ส. ยักยอกทรัพย์ ในการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แสดงว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้ต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ในวันเสร็จสิ้นการประชุมครั้งสุดท้ายนั่นเองเมื่อกรมสรรพากรรายงานมติการประชุมไปยังกระทรวงการคลังกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วสั่งให้จำเลยที่ 3 รับผิดด้วยและได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้ภายในหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าวฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ยังไม่ขาดอายุความ
กรมสรรพากรได้กำหนดวิธีการตรวจตัดปีไว้ให้ตรวจเป็นรายเดือนมีรายละเอียดวิธีตรวจเป็นข้อๆ และระบุให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบส. เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอได้เริ่มทำการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากรที่ ส. รับชำระไว้ไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2503 จนถึงปลายปีพ.ศ.2505ถ้าจำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดปฏิบัติการตรวจตัดปีตามวิธีการที่กำหนดทุกเดือน ก็จะทราบว่ายอดเงินในแบบรายการเสียภาษีกับยอดเงินที่เก็บได้ในเดือนหนึ่งๆ ไม่ตรงกันและเหตุที่ไม่ตรงกันก็เพราะ ส. ได้กระทำการทุจริต แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจตัดปีเป็นรายเดือนตามระเบียบ จึงเพิ่งตรวจพบยอดเงินไม่ตรงกันในปลายปี พ.ศ.2505 แม้จำเลยที่ 3 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นทำการตรวจสอบแทนก็ตาม จำเลยที่ 3 ผู้เป็นสรรพากรจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 และของ ส. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง เพราะจำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ควบคุมการเก็บหรือรับเงินผลประโยชน์ จะต้องไม่ละเลยการตรวจตราในหน้าที่ตามระเบียบการที่ได้วางไว้การกระทำของจำเลยที่3 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินภาษีอากรที่โจทก์จะพึงได้รับ ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
เงินที่ ส. เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอยักยอกไป เป็นเงินภาษีอากรซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บตามกฎหมายกรมสรรพากรเป็นหน่วยราชการขึ้นต่อกระทรวงการคลังโจทก์ เมื่อ ส. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในบังคับบัญชาของโจทก์จัดเก็บเงินภาษีอากรดังกล่าวมาได้ ย่อมเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับเงินนี้
การมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนั้น ย่อมรวมถึงมอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อไปหลังจากฟ้องคดีแล้วด้วย
กรณีข้าราชการกระทำละเมิดต่อทางราชการนั้น จะถือว่ากรมหรือกระทรวงเจ้าสังกัดรู้การละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นในกรมหรือกระทรวงเสนอความเห็นหาได้ไม่ ต้องนับตั้งแต่วันที่อธิบดีหรือรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องราวและความเห็นนั้นแล้วส. เป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากรยักยอกทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรเป็นนิติบุคคล มีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ฉะนั้นถ้ากรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนมาเกินหนึ่งปีแล้วไม่มีการฟ้องร้องคดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 กรมสรรพากรเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ถ้ากระทรวงการคลังมาเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ก็ต้องถือว่าขาดอายุความเช่นเดียวกัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2505) อธิบดีกรมสรรพากรกับ อ.ก.พ.กรม ได้ประชุมกัน 3 ครั้ง เพื่อพิจารณาหาตัวผู้จะต้องรับผิดในทางแพ่ง กรณี ส. ยักยอกทรัพย์ ในการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แสดงว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้ต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ในวันเสร็จสิ้นการประชุมครั้งสุดท้ายนั่นเองเมื่อกรมสรรพากรรายงานมติการประชุมไปยังกระทรวงการคลังกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วสั่งให้จำเลยที่ 3 รับผิดด้วยและได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้ภายในหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าวฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ยังไม่ขาดอายุความ
กรมสรรพากรได้กำหนดวิธีการตรวจตัดปีไว้ให้ตรวจเป็นรายเดือนมีรายละเอียดวิธีตรวจเป็นข้อๆ และระบุให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบส. เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอได้เริ่มทำการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากรที่ ส. รับชำระไว้ไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2503 จนถึงปลายปีพ.ศ.2505ถ้าจำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดปฏิบัติการตรวจตัดปีตามวิธีการที่กำหนดทุกเดือน ก็จะทราบว่ายอดเงินในแบบรายการเสียภาษีกับยอดเงินที่เก็บได้ในเดือนหนึ่งๆ ไม่ตรงกันและเหตุที่ไม่ตรงกันก็เพราะ ส. ได้กระทำการทุจริต แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจตัดปีเป็นรายเดือนตามระเบียบ จึงเพิ่งตรวจพบยอดเงินไม่ตรงกันในปลายปี พ.ศ.2505 แม้จำเลยที่ 3 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นทำการตรวจสอบแทนก็ตาม จำเลยที่ 3 ผู้เป็นสรรพากรจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 และของ ส. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง เพราะจำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ควบคุมการเก็บหรือรับเงินผลประโยชน์ จะต้องไม่ละเลยการตรวจตราในหน้าที่ตามระเบียบการที่ได้วางไว้การกระทำของจำเลยที่3 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินภาษีอากรที่โจทก์จะพึงได้รับ ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเช็ค: การต่อสู้เรื่องผู้ทรงโดยชอบ/เจตนาทุจริตในการเรียกเก็บเงิน
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าเช่าและค่าซื้อกรรมสิทธิ์ภาพยนตร์ จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทำสัญญาซื้อกากฟิล์มภาพยนตร์จาก ล. และ พ. บุคคลทั้งสองมอบให้บริษัท น. ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการผู้จัดการเป็นตัวแทนนำฟิล์มภาพยนตร์ดังกล่าวมอบให้จำเลย และรับมอบเช็คของจำเลยไว้ โจทก์สมคบกับ ล. และ พ. ไม่นำกากฟิล์มภาพยนตร์ส่งจำเลยให้ครบ และนำกากฟิล์มไปจำนำต่อบุคคลอื่น ให้บุคคลอื่นฉายหาประโยชน์ทำให้โจทก์เสียหายแสดงว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าเช็คที่โจทก์ฟ้องไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระ และโจทก์กับ ล. และ พ. คบคิดกันไม่สุจริต นำเช็คมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยนั้นเองจึงมีประเด็นที่จะต้องนำสืบพยานกันต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1803/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานเบียดบังเงินและสนับสนุนการทุจริตเบิกจ่ายเงิน ร.ส.พ.
ร.ส.พ.สาขาจังหวัดขอนแก่นดำเนินงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้จัดการ ร.ส.พ.สาขาจังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของ ร.ส.พ.ประจำอยู่ที่สาขาจังหวัดขอนแก่นจำเลยที่2 เป็นเจ้าของรถร่วมที่นำรถยนต์เข้าร่วมกิจการขนส่งสินค้ากับ ร.ส.พ. จำเลยที่ 1 มีหน้าที่รักษาเงินของ ร.ส.พ.สาขาขอนแก่น ได้เบียดบังเอาเงินของ ร.ส.พ.ซึ่งอยู่ในหน้าที่รักษาของจำเลยที่ 1 เอง ด้วยวิธีทำหลักฐานเท็จเบิกจ่ายเงินไป โดยให้จำเลยที่ 2 ทำหลักฐานเท็จยื่นต่อจำเลยที่ 1 ขอเบิกเงินค่าขนส่งสินค้า อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานฯมาตรา 4 ส่วน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามบทมาตราดังกล่าวประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานยังได้ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตในการขอเบิกจ่ายเงินประเภทที่จะต้องขอเบิกจ่ายต่อ ร.ส.พ.สาขาอุดรธานี ด้วยการทำหลักฐานเท็จเสนอขออนุมัติจ่าย จนผู้จัดการ ร.ส.พ.สาขาอุดรธานีหลงเชื่ออนุมัติให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ 2 ที่สถานี ร.ส.พ.สาขาอุดรธานี การกระทำของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้เป็นความผิดตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดส่วนนี้ การกระทำผิดของจำเลยหาต้องด้วยมาตรา 8 ด้วยไม่ และเมื่อเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1756/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลือกตั้ง: การพิสูจน์การทุจริตการนับคะแนนที่ไม่ชัดเจน และการขาดหลักฐานสนับสนุนคำร้อง
ตามคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ข้อ 3 (1) ที่อ้างว่า ในเขตพระโขนง ย. ได้คะแนนตามภาพถ่ายป้ายประกาศเพียง 18,976 คะแนน ต่อมาได้มีการเพิ่มขึ้นอีก 1,154 คะแนน เป็น 20,130 คะแนน เมื่อรวมทั้งเขตเลือกตั้งที่ 3 จึงมีคะแนนมากกว่าผู้ร้องจำนวน 231 คะแนน หากไม่มีการเพิ่ม ผู้ร้องจะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนมากกว่า ย. 923 คะแนนนั้น คำร้องข้อนี้ผู้ร้องมิได้บรรยายแจ้งชัดว่ามีการเพิ่มคะแนนกันอย่างไร ที่หน่วยไหน เป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องข้อ 3 (2) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 2 ตำบลหนองจอก เขตหนองจอก จาก 66 คะแนนเป็น 666 คะแนน เพิ่มขึ้นอีก 600 คะแนน คำร้องข้อ 3 (3) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งในเขตพระโขนง โดยนับบัตรเสียของ ย.ประมาณ 5,000 บัตร เป็นบัตรดี และนับบัตรดีของผู้ร้องประมาณ 9,200 บัตร เป็นบัตรเสีย ผู้ร้องมิได้บรรยายว่าบัตรชนิดใดเป็นบัตรเสีย แต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรดี และบัตรชนิดใดที่เป็นบัตรดี แต่กรรมกาตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรเสีย เพราะบัตรเลือกตั้งที่กฎหมายถือว่าเป็นบัตรเสียนั้น ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2511 มาตรา 58 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2517 มาตรา 19 ได้บัญญัติไว้ถึง 5 ประเภทด้วยกัน ที่ผู้ร้องกล่าวคลุม ๆ มาดังกล่าว หาชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ไม่
คำร้องข้อ 3 (4) อ้างว่า เพื่อเป็นคุณแก่ ย. และเพื่อเป็นโทษแก่ผู้ร้อง มีการทุจริตจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริง ฯลฯ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะระบุว่ามีการกระทำดังกล่าวในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วยและหน่วยอื่น ๆ อีก พอแปลความได้ว่า ทุกหน่วยเลือกตั้งก็ตาม แต่ผู้ร้องก็มิได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่ามีการจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริงอย่างไร เพิ่มหรือลดจำนวนคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใด เท่าใด การรวมคะแนนและการลงคะแนนในรายงานแสดงผลการนับคะแนน การแก้ตัวเลขในรายงาน การแก้จำนวนคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น การลงเครื่องหมายผู้ขอรับบัตรเพิ่มขึ้น ผิดความจริงไปอย่างไร คำร้องข้อนี้จึงเคลือบคลุม
คำร้องข้อ 3 (2) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 2 ตำบลหนองจอก เขตหนองจอก จาก 66 คะแนนเป็น 666 คะแนน เพิ่มขึ้นอีก 600 คะแนน คำร้องข้อ 3 (3) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งในเขตพระโขนง โดยนับบัตรเสียของ ย.ประมาณ 5,000 บัตร เป็นบัตรดี และนับบัตรดีของผู้ร้องประมาณ 9,200 บัตร เป็นบัตรเสีย ผู้ร้องมิได้บรรยายว่าบัตรชนิดใดเป็นบัตรเสีย แต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรดี และบัตรชนิดใดที่เป็นบัตรดี แต่กรรมกาตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรเสีย เพราะบัตรเลือกตั้งที่กฎหมายถือว่าเป็นบัตรเสียนั้น ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2511 มาตรา 58 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2517 มาตรา 19 ได้บัญญัติไว้ถึง 5 ประเภทด้วยกัน ที่ผู้ร้องกล่าวคลุม ๆ มาดังกล่าว หาชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ไม่
คำร้องข้อ 3 (4) อ้างว่า เพื่อเป็นคุณแก่ ย. และเพื่อเป็นโทษแก่ผู้ร้อง มีการทุจริตจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริง ฯลฯ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะระบุว่ามีการกระทำดังกล่าวในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วยและหน่วยอื่น ๆ อีก พอแปลความได้ว่า ทุกหน่วยเลือกตั้งก็ตาม แต่ผู้ร้องก็มิได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่ามีการจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริงอย่างไร เพิ่มหรือลดจำนวนคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใด เท่าใด การรวมคะแนนและการลงคะแนนในรายงานแสดงผลการนับคะแนน การแก้ตัวเลขในรายงาน การแก้จำนวนคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น การลงเครื่องหมายผู้ขอรับบัตรเพิ่มขึ้น ผิดความจริงไปอย่างไร คำร้องข้อนี้จึงเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1756/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง: การพิสูจน์ข้อกล่าวหาทุจริตต้องชัดเจนและมีหลักฐานสนับสนุน
ตามคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ข้อ 3(1) ที่อ้างว่า ในเขตพระโขนง ย. ได้คะแนนตามภาพถ่ายป้ายประกาศเพียง 18,976 คะแนน ต่อมาได้มีการเพิ่มขึ้นอีก 1,154 คะแนน เป็น 20,130 คะแนน เมื่อรวมทั้งเขตเลือกตั้งที่ 3 จึงมีคะแนนมากกว่าผู้ร้องจำนวน 231 คะแนน หากไม่มีการเพิ่มผู้ร้องจะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนมากกว่า ย.923 คะแนนนั้น คำร้องข้อนี้ผู้ร้องมิได้บรรยายแจ้งชัดว่ามีการเพิ่มคะแนนกันอย่างไร ที่หน่วยไหน เป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องข้อ 3(2) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 2 ตำบลหนองจอกเขตหนองจอก จาก 66 คะแนนเป็น 666 คะแนน เพิ่มขึ้นอีก 600 คะแนน คำร้องข้อ3(3) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งในเขตพระโขนง โดยนับบัตรเสียของ ย. ประมาณ5,000 บัตร เป็นบัตรดี และนับบัตรดีของผู้ร้องประมาณ 9,200 บัตร เป็นบัตรเสีย ผู้ร้องมิได้บรรยายว่าบัตรชนิดใดเป็นบัตรเสียแต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรดี และบัตรชนิดใดที่เป็นบัตรดี แต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรเสีย เพราะบัตรเลือกตั้งที่กฎหมายถือว่าเป็นบัตรเสียนั้น ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2511 มาตรา 58 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2517 มาตรา 19 ได้บัญญัติไว้ถึง 5 ประเภทด้วยกัน ที่ผู้ร้องกล่าวคลุมๆ มาดังกล่าว หาชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ไม่
คำร้องข้อ 3(4) อ้างว่า เพื่อเป็นคุณแก่ ย. และเพื่อเป็นโทษแก่ผู้ร้อง มีการทุจริตจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริง ฯลฯ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะระบุว่ามีการกระทำดังกล่าวในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วยและหน่วยอื่นๆ อีก พอแปลความได้ว่า ทุกหน่วยเลือกตั้งก็ตาม แต่ผู้ร้องก็มิได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่ามีการจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริงอย่างไร เพิ่มหรือลดจำนวนคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดเท่าใด การรวมคะแนนและการลงคะแนนในรายงานแสดงผลการนับคะแนนการแก้ตัวเลขในรายงาน การแก้จำนวนคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น การลงเครื่องหมายผู้ขอรับบัตรเพิ่มขึ้น ผิดความจริงไปอย่างไร คำร้องข้อนี้จึงเคลือบคลุม
คำร้องข้อ 3(2) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 2 ตำบลหนองจอกเขตหนองจอก จาก 66 คะแนนเป็น 666 คะแนน เพิ่มขึ้นอีก 600 คะแนน คำร้องข้อ3(3) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งในเขตพระโขนง โดยนับบัตรเสียของ ย. ประมาณ5,000 บัตร เป็นบัตรดี และนับบัตรดีของผู้ร้องประมาณ 9,200 บัตร เป็นบัตรเสีย ผู้ร้องมิได้บรรยายว่าบัตรชนิดใดเป็นบัตรเสียแต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรดี และบัตรชนิดใดที่เป็นบัตรดี แต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรเสีย เพราะบัตรเลือกตั้งที่กฎหมายถือว่าเป็นบัตรเสียนั้น ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2511 มาตรา 58 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2517 มาตรา 19 ได้บัญญัติไว้ถึง 5 ประเภทด้วยกัน ที่ผู้ร้องกล่าวคลุมๆ มาดังกล่าว หาชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ไม่
คำร้องข้อ 3(4) อ้างว่า เพื่อเป็นคุณแก่ ย. และเพื่อเป็นโทษแก่ผู้ร้อง มีการทุจริตจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริง ฯลฯ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะระบุว่ามีการกระทำดังกล่าวในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วยและหน่วยอื่นๆ อีก พอแปลความได้ว่า ทุกหน่วยเลือกตั้งก็ตาม แต่ผู้ร้องก็มิได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่ามีการจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริงอย่างไร เพิ่มหรือลดจำนวนคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดเท่าใด การรวมคะแนนและการลงคะแนนในรายงานแสดงผลการนับคะแนนการแก้ตัวเลขในรายงาน การแก้จำนวนคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น การลงเครื่องหมายผู้ขอรับบัตรเพิ่มขึ้น ผิดความจริงไปอย่างไร คำร้องข้อนี้จึงเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 152/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานละเว้นหน้าที่ช่วยเหลือผู้รับเหมาส่อทุจริตสัญญา
พนักงานเทศบาลและเทศมนตรีเป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 44 นายกเทศมนตรีมีคำสั่งตั้งให้ควบคุมงานจ้างเหมาได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งให้ตรวจและรับรองผลงานรับเหมาตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยได้ จำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ผู้รับเหมาได้ประโยชน์ผิดจากสัญญาและทำใบตรวจงานเท็จ เป็นความผิดตามมาตรา 157,162
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แม้ยังไม่ได้จ่ายเงิน ก็เป็นความผิด
องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกตั้งพนักงานในสังกัดเป็นกรรมการตรวจรับงานขององค์การ กรรมการลงชื่อตรวจรับว่าถูกต้องจึงได้รับอนุมัติให้จ่ายค่าจ้าง ความจริงไม่ได้ทำงานเลย แม้ยังไม่ได้จ่ายเงิน ก็เป็นความผิดตามมาตรา 157