พบผลลัพธ์ทั้งหมด 560 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1094/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลจากผู้ทำละเมิด: ไม่มีกฎหมายรองรับ
จำเลยขับเรือโดยประมาทชนเรือโดยสารของโจทก์ เป็นเหตุให้ผู้โดยสารในเรือของโจทก์บาดเจ็บ ค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์ได้จ่ายไปในทางรักษาพยาบาลผู้โดยสารดังกล่าว โจทก์หามีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ไม่ เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียกร้องเอาจากผู้ทำละเมิดได้ และไม่เป็นการรับช่างสิทธิตามกฎหมาย ทั้งกรณีไม่ใช่เรื่องที่โจทก์จะต้องรับผิดต่อผู้โดยสารตามความแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการรับขนคนโดยสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดต่อความเสียหายจากลูกจ้างประมาท แม้จะไม่ได้สั่งให้ทำโดยตรง
ลูกจ้างจุดไม้ขีดไฟเพื่อสูบบุหรี่ในขณะขนปี๊บหน่อไม้จากฉางขึ้นรถยนต์ตามคำสั่งของนายจ้าง หัวไม้ขีดที่กำลังติดไฟกระเด็นไปถูกปุยนุ่นและปอในฉาง ทำให้เกิดไฟไหม้ฉางและลามไปไหม้บ้านราษฎรเสียหาย ขณะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างกำลังมีอยู่ ต้องถือว่าการละเมิดเกิดขึ้นขณะในปฏิบัติงานในทางการที่จ้าง ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของลูกจ้างและไม่ไกลเกินกว่าเหตุ นายจ้างต้องรับผิด
กรณีดังกล่าว หากลูกจ้างใช้ความระมัดระวัง โดยพิเคราะห์ดูว่าปุยนุ่นและปอเป็นวัตถุที่ไวต่อการลุกไหม้แล้ว เหตุก็จะไม่เกิดขึ้นได้ กรณีจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุอันจะไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างไม่ได้อุทธรณ์ว่าผู้ทำละเมิดมิใช่ลูกจ้างของตน ปัญหาข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
กรณีดังกล่าว หากลูกจ้างใช้ความระมัดระวัง โดยพิเคราะห์ดูว่าปุยนุ่นและปอเป็นวัตถุที่ไวต่อการลุกไหม้แล้ว เหตุก็จะไม่เกิดขึ้นได้ กรณีจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุอันจะไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างไม่ได้อุทธรณ์ว่าผู้ทำละเมิดมิใช่ลูกจ้างของตน ปัญหาข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการยกฟ้องจำเลยที่ไม่เคยอุทธรณ์ หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงและพบว่าจำเลยมิได้ประมาท
คดีที่โจทก์ฟ้องว่ารถชนกันเกิดจากการกระทำโดยประมาทของทั้งฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงที่ว่า เหตุเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยคนใดบ้างหรือว่า ทั้งสองคนเป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ว่า เหตุเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 2 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 มิได้กระทำโดยประมาทด้วย ศาลอุทธรรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2479/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ค้ำประกันเมื่อลูกหนี้ประมาทในการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าหนี้
จำเลยที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์ของโจทก์ไว้ต่อโจทก์ว่า ในระหว่างที่จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์ หากปฏิบัติงานด้วยความประมาทหรือเจตนาทุจริต หรือทุจริตต่อหน้าที่ ยักยอก ฉ้อโกงอันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 4 ยินยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ การที่ผู้จัดการโจทก์ได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ทำหน้าที่เคลียริ่งไปแลกเงินที่กระทรวงการคลัง เมื่อขับรถไประหว่างทางจำเลยที่ 2 ได้แวะไปถ่ายอุจจาระเสีย แล้วยินยอมให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์และไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ขับรถยนต์นั้นไปตามลำพังเป็นเหตุให้ไปชนรถผู้อื่นที่จอดอยู่ข้างทางโดยประมาทและทำให้โจทก์เสียหาย ย่อมถือว่าจำเลยที่ 2 ขาดความระมัดระวังตามวิสัยของปกติชน จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์โดยตรง จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสามารถของโจทก์เด็กและสิทธิของจำเลยในการยกประเด็นประมาทร่วมกัน แม้ไม่เคยอ้างในคดีอาญา
ข้อที่ว่าผู้เสียหายมีส่วนรวมในการประมาทด้วยหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ต่อสู้ไว้ในคดีอาญา ก็ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีแพ่ง
ผู้เยาว์ถูกจำเลยขับรถชนได้รับอันตราย มารดาดำเนินคดีแทนผู้เยาว์โดยฟ้องเรียกค่าเสียหาย มิได้ฟ้องในนามของมารดาเองเป็นการส่วนตัว เท่ากับผู้เยาว์เป็นโจทก์ฟ้องคดีนั่นเอง เมื่อผู้เยาว์ยังมิได้รับความยินยอมจากบิดา จึงเป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 วรรคสอง ศาลมีอำนาจสอบสวนในเรื่องความสามารถของคู่ความและมีคำสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องได้ หาใช่ว่าฟ้องของโจทก์เสียไป เพราะเป็นการดำเนินคดีโดยผู้ไม่มีอำนาจไม่ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถจึงชอบแล้ว
(ตามวรรค 2 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2518)
ผู้เยาว์ถูกจำเลยขับรถชนได้รับอันตราย มารดาดำเนินคดีแทนผู้เยาว์โดยฟ้องเรียกค่าเสียหาย มิได้ฟ้องในนามของมารดาเองเป็นการส่วนตัว เท่ากับผู้เยาว์เป็นโจทก์ฟ้องคดีนั่นเอง เมื่อผู้เยาว์ยังมิได้รับความยินยอมจากบิดา จึงเป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 วรรคสอง ศาลมีอำนาจสอบสวนในเรื่องความสามารถของคู่ความและมีคำสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องได้ หาใช่ว่าฟ้องของโจทก์เสียไป เพราะเป็นการดำเนินคดีโดยผู้ไม่มีอำนาจไม่ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถจึงชอบแล้ว
(ตามวรรค 2 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาทในการขับรถและการลงโทษ แม้ข้อเท็จจริงต่างจากที่ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถชนรถโจทก์ร่วมในขณะรถโจทก์ร่วมหยุดอยู่ แต่ทางพิจารณาได้ความว่ารถโจทก์ร่วมกำลังขับเคลื่อนไปมิได้หยุด เมื่อการชนเกิดขึ้นเนื่องจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้ หาใช่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นและเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาทในการขับรถและการพิพากษาลงโทษ แม้ข้อเท็จจริงไม่ตรงตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถชนรถโจทก์ร่วมในขณะรถโจทก์ร่วมหยุดอยู่ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า รถโจทก์ร่วมกำลังขับเคลื่อนไปมิได้หยุด เมื่อการชนเกิดขึ้นเนื่องจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้หาใช่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น และเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของไปรษณีย์ต่อการละเมิดของพนักงานจากความประมาทในการส่งตั๋วแลกเงิน
โจทก์ที่ 1 ส่งตั๋วแลกเงินจำนวน 40,000 บาทของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเบตงให้แก่โจทก์ที่ 2 โดยบรรจุตั๋วแลกเงินในซองจดหมายลงทะเบียนจ่าหน้าซองถึงโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานบุรุษไปรษณีย์ ได้รับมอบหมายให้นำไปรษณียภัณฑ์ดังกล่าวไปส่งให้แก่ผู้รับ แต่ในการส่งนั้นจำเลยที่ 2 ได้ทำหลักฐานใบรับปลอมขึ้นว่ามีบุคคลในบ้านเดียวกันกับโจทก์ที่ 2 รับแทน แล้วแอบอ้างตัวเองเป็นโจทก์ที่ 2 นำตั๋วแลกเงินไปรับเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภ อันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ แม้พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ.2477 จะบัญญัติถึงความรับผิดของกรมไปรษณีย์ไว้เป็นพิเศษก็ตาม แต่เมื่อกรณีนี้เป็นเรื่องละเมิด มิใช่เป็นการทำผิดสัญญารับขน พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ 2477 จึงไม่เป็นประโยชน์แก่กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อทรัพย์สินที่โจทก์ต้องเสียไปเพราะการละเมิดนั้นคือเงินจำนวน 40,000 บาทตามตั๋วแลกเงินของโจทก์ที่จำเลยที่ 2 เอาไป ซึ่งเป็นความเสียหายโดยตรงจากการละเมิดของจำเลยที่ 2 กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ชดใช้ราคาทรัพย์จำนวนดังกล่าวให้โจทก์ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2930/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายบทจากการขับรถที่เครื่องอุปกรณ์ไม่ถูกต้อง และประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ซึ่งห้ามล้อเท้าใช้ไม่ได้ ถือเป็นรถยนต์ที่มีเครื่องอุปกรณ์ไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง ทั้งได้ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามพระราชบัญญัติรถยนต์มาด้วย แต่บรรยายไว้เป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายอันเนื่องมาจากจำเลยได้ขับรถยนต์ซึ่งห้ามล้อเท้านั้นใช้ไม่ได้ ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกฎหมายหลายบทมิใช่หลายกระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาทในการขับรถแซง ทำให้เกิดอุบัติเหตุและบาดเจ็บแก่ผู้อื่น ศาลพิจารณาความรับผิดทางอาญา
การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจและทรัพย์สินของโจทก์ร่วมและบุคคลอื่นนั้นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานนี้โดยตรง จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย และไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ ส่วนความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายมีสิทธิจะอุทธรณ์ฎีกาตามลำพังได้
ปัญหาที่ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 หรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นไปทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 208(2) ประกอบด้วยมาตรา 225
จำเลยขับรถยนต์แซงรถบรรทุกหินซึ่งจอดอยู่ที่ขอบถนนด้านซ้ายในเส้นทางของรถจำเลย ล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถโจทก์ร่วมที่กำลังสวนทางมา และตรงที่เกิดเหตุมีเส้นแบ่งแนวจราจรเป็นเส้นทึบคู่ห้ามขับรถคร่อมไปตามเส้นหรือล้ำออกนอกเส้นทางไปทางขวา เพื่อป้องกันอันตราย เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกันในเส้นทางของรถโจทก์ร่วม โดยจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอกับวิสัยและพฤติการณ์โดยมองไปข้างหน้าว่ามียานพาหนะอื่นใดสวนทางมาหรือไม่หรือหากมองไม่เห็น เพราะมีส่วนโค้งของถนนหรือสะพานบังอยู่ก็ชอบที่จะชะลอรถให้ช้าลงเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงค่อยแซงรถที่จอดอยู่ขึ้นไป ดังนี้นับว่าเป็นความประมาทของจำเลยหาใช่อุบัติเหตุไม่
ปัญหาที่ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 หรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นไปทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 208(2) ประกอบด้วยมาตรา 225
จำเลยขับรถยนต์แซงรถบรรทุกหินซึ่งจอดอยู่ที่ขอบถนนด้านซ้ายในเส้นทางของรถจำเลย ล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถโจทก์ร่วมที่กำลังสวนทางมา และตรงที่เกิดเหตุมีเส้นแบ่งแนวจราจรเป็นเส้นทึบคู่ห้ามขับรถคร่อมไปตามเส้นหรือล้ำออกนอกเส้นทางไปทางขวา เพื่อป้องกันอันตราย เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกันในเส้นทางของรถโจทก์ร่วม โดยจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอกับวิสัยและพฤติการณ์โดยมองไปข้างหน้าว่ามียานพาหนะอื่นใดสวนทางมาหรือไม่หรือหากมองไม่เห็น เพราะมีส่วนโค้งของถนนหรือสะพานบังอยู่ก็ชอบที่จะชะลอรถให้ช้าลงเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงค่อยแซงรถที่จอดอยู่ขึ้นไป ดังนี้นับว่าเป็นความประมาทของจำเลยหาใช่อุบัติเหตุไม่