คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้ค้ำประกัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1628/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่จำเป็นต้องปิดอากรแสตมป์เมื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการฟ้องไล่เบี้ย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันนำสัญญาค้ำประกันมาสืบประกอบในการฟ้องไล่เบี้ยจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้ มิใช่เป็นการนำสืบบังคับตามสัญญาค้ำประกันโดยตรง แม้สัญญาค้ำประกันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1302-1303/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำนองประกันหนี้และดอกเบี้ย: เริ่มผูกพันเมื่อจดทะเบียนจำนอง, ดอกเบี้ยคำนวณรายวัน, จำกัดความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
ทรัพย์ซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์อันรวมถึงดอกเบี้ยซึ่งคำนวณและถือได้เป็นรายวัน ดังนั้น ผู้จำนองจึงต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ยตั้งแต่วันจดทะเบียนจำนองเป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 939/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนเชิด-ความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัด: การขยายความรับผิดจากตัวแทนไปยังห้างหุ้นส่วนและผู้ค้ำประกัน
โจทก์ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้อง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด อำนาจการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่งต่อไปย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25 แต่เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าคดีหรือมีคำขอให้จำหน่ายคดีก็ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แม้จำเลยจะขอให้จำหน่ายคดี และโจทก์ไม่ค้านก็ตาม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนเชิดศาลก็ย่อมวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดในการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนเชิดได้เพราะความรับผิดของตัวแทนกับตัวแทนเชิดมีลักษณะอย่างเดียวกัน ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
การที่จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และประทับตราจำเลยที่ 1 ในสัญญาดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 5 ได้เชิดจำเลยที่ 2 หรือยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตนเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญาขายลดเช็คต่อโจทก์ผู้สุจริตเสมือนว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 939/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดในสัญญาซื้อลดเช็คและการเชิดตัวแทน: ความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการและผู้ค้ำประกัน
เมื่อปรากฏว่าลายมือชื่อจำเลยที่ 5 ในสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 5 ปฏิเสธว่ามิใช่ลายมือชื่อของตน กับในการ์ดตัวอย่างลายมือชื่อและคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันที่จำเลยที่ 5 รับว่าเป็นลายมือชื่อของตนจริงคล้ายคลึงกันและสีหมึกก็เป็นสีเดียวกัน ประกอบกับจำเลยที่ 2 ผู้ทำสัญญาขายลดเช็คกับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันก็เป็นสามีภริยากัน จึงน่าเชื่อว่าลายมือชื่อจำเลยที่ 5 ในสัญญาค้ำประกัน เป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลยที่ 5 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 5 แล้วเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าคดี หรือมีคำขอให้จำหน่ายคดี ศาลย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาสำหรับจำเลยที่ 5 ต่อไป โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 2 กระทำการแทนจำเลยที่ 1ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นตัวแทนเชิด ศาลก็ย่อมวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดในการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนเชิด ได้ เพราะความรับผิดของตัวแทนกับตัวแทนเชิด มีลักษณะอย่างเดียวกัน ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น การที่จำเลยที่ 5 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในสัญญาขายลดเช็คในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 และประทับตราห้างจำเลยที่ 1 ด้วยทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 5หุ้นส่วนผู้จัดการได้เชิด จำเลยที่ 2 หรือยอมให้จำเลยที่ 2เชิด ตนเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญาขายลดเช็คต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5610/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน: การผ่อนผันสัญญาหลักไม่กระทบความรับผิดของผู้ค้ำประกัน หากผู้ค้ำประกันรับรู้และยินยอม
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการปฏิบัติตามสัญญาก่อสร้างอาคารไว้ต่อโจทก์ มีใจความว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติ ตามสัญญาซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้แล้ว จำเลยที่ 2 ยอมชำระเงินแทนให้ทันทีโดยไม่ต้องเรียกร้องให้ จำเลยที่ 1 ชำระก่อน จำเลยที่ 2 ยอมรับรู้และยินยอมด้วยในกรณีที่ โจทก์ได้ยินยอมให้ผัดหรือผ่อนเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญา ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเพียงแต่โจทก์ติดต่อแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น ข้อความดังกล่าวมีความหมายชัดเจนว่าจำเลยที่ 2 ยอมให้โจทก์ผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ถือเป็น สาระสำคัญในการค้ำประกัน ขอแต่เพียงแจ้งการผ่อนผันให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น ต่อมาโจทก์ได้ขยายระยะเวลาก่อสร้างให้ จำเลยที่ 1ออกไป โดยได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบแล้ว ดังนั้นเมื่อ จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและไม่ยอมชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญาให้แก่โจทก์ทันที โดยโจทก์ ไม่ต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4241/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าเช่าซื้อทวงถาม และความรับผิดของผู้ค้ำประกันเสมือนลูกหนี้ร่วม
ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระมิใช่ค่าเช่าซื้อ สิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายดังกล่าวจึงไม่ตก อยู่ ในบังคับอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 165(6) กรณีต้องบังคับตามอายุความทั่วไปซึ่งกำหนดไว้ 10 ปี เมื่อจำเลยผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตน เสมือนเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อ จำเลยก็มีหน้าที่และความรับผิดตามกฎหมายและตามสัญญาเช่นเดียวกับผู้เช่าซื้อ รวมทั้งต้องส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อแก่โจทก์ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4241/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าติดตามทวงหนี้เช่าซื้อ & ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระมิใช่ค่าเช่าซื้อ สิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายดังกล่าวจึงไม่ตกอยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(6) แต่ต้องบังคับตามอายุความทั่วไปซึ่งกำหนดไว้ 10 ปี
เมื่อจำเลยผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนเสมือนเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อ จำเลยก็มีหน้าที่และความรับผิดตามกฎหมายและตามสัญญาเช่นเดียวกับผู้เช่าซื้อ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4174/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายจากพฤติการณ์ และการชดใช้ค่าใช้ทรัพย์ของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ ตามสัญญาเช่าซื้อกำหนดเวลาให้ชำระค่าเช่าซื้อทุกวันที่ 13 ของเดือน หากจำเลยที่ 1ผิดนัดแม้เพียงงวดหนึ่งงวดใดถือเป็นการผิดสัญญาและยอมให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันทันทีแต่จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อเกินกำหนดเวลาตลอดมาทุกงวดตั้งแต่งวดแรกเป็นต้นไปซึ่งฝ่ายโจทก์ยินยอมรับไว้โดยมิได้ทักท้วง ตามพฤติการณ์แสดงว่าในทางปฏิบัติคู่สัญญาไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสำคัญ จะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดผิดสัญญาและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันไม่ได้ กรณีนี้หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาก็จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 ก่อน แต่ไม่ปรากฏว่าหลังจากนั้นโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1อย่างไรก็ตามการที่โจทก์ไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อเกินกำหนดเวลา และจำเลยที่ 1 ก็ยินยอมให้ยึดไปโดยไม่ได้โต้แย้ง ก็เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจที่จะเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยายนับแต่วันที่โจทก์ยึดรถยนต์คืน คู่สัญญาจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิม จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ค่าใช้ทรัพย์ดังกล่าวให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม และเมื่อสัญญาเลิกกันโดยจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ รวมทั้งค่าติดตามรถยนต์ให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน ซึ่งยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่1 ในการปฏิบัติตามสัญญา ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการชดใช้ค่าใช้ทรัพย์ให้โจทก์ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 379/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระภาษีอากรนำเข้าและการวางประกัน โดยกรณีไม่ชำระภายในกำหนด เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกเก็บจากผู้ค้ำประกันได้
ในกรณีที่ผู้นำของเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นผู้ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมศุลกากรให้คืนเงินอากรขาเข้า ตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 19 ทวิ หรือไม่ก็ตาม จะนำของไปจากอารักขาของศุลกากรก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรจนครบถ้วนเสียก่อน เว้นแต่จะได้วางประกันค่าอากรไว้ต่ออธิบดีกรมศุลกากร ตามมาตรา 40 และมาตรา 112 ซึ่งกระทำได้ 2 วิธีคือ วิธีหนึ่งวางเงินไว้เป็นประกัน อีกวิธีหนึ่งนำหนังสือค้ำประกันของกระทรวงการคลังหรือธนาคารมาวางเป็นประกัน
ในการวางเงินเป็นประกัน ถ้าผู้นำของเข้าไม่ชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินและแจ้งให้ทราบภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และเงินประกันที่วางไว้คุ้มค่าอากรที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินแล้ว ก็ให้เก็บเงินประกันดังกล่าวเป็นค่าอากรตามจำนวนที่ประเมินได้ทันที และให้ถือเสมือนว่าผู้นำของเข้าได้ชำระเงินอากรที่ได้แจ้งภายในเวลาที่กำหนดดังกล่าวข้างต้นแล้วตามมาตรา 112 ทวิ วรรคสอง
กรณีการนำหนังสือค้ำประกันของกระทรวงการคลัง หรือธนาคารมาวางเป็นประกันมิได้มีบทบัญญัติมาตราใดแห่งพระราชบัญญัติศุลกากรบัญญัติไว้ว่า ถ้าผู้นำของเข้าไม่ชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินแจ้งให้ทราบแล้วภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งก็ให้เรียกเก็บเงินจากผู้ค้ำประกันได้ทันที และให้ถือเสมือนว่าผู้นำของเข้าได้ชำระเงินอากรที่ได้แจ้งภายในเวลาที่กำหนดข้างต้นแล้ว
จำเลยนำของเข้ามาผลิต ผสม หรือประกอบ เพื่อส่งออกไปยังเมืองต่างประเทศหรือส่งไปเป็นของใช้สิ้นเปลืองในเรือเดินทางไปเมืองต่างประเทศเพื่อขอคืนอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 19 ทวิ ได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารไปวางเป็นประกันและรับของมาจากศุลกากรยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแล้ว การที่ศุลกากรปล่อยหรือมอบของให้จำเลยมาโดยยอมรับหนังสือค้ำประกันของธนาคารเป็นประกันก็เป็นเพียงผ่อนผันการชำระค่าอากรขาเข้าให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยมิได้ผลิตผสมหรือประกอบของที่นำเข้ามาส่งออกไปยังเมืองต่างประเทศภายในกำหนด 1 ปี ตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับคืนอากรขาเข้าตามมาตรา 19 ทวิ(ง) และเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะนำอากรขาเข้าตามที่เจ้าหน้าที่ได้ประเมินไว้ไปชำระมิใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินจะต้องติดตามทวงถามให้จำเลยชำระค่าอากรดังกล่าว และตามพระราชบัญญัติศุลกากรก็ดี ประมวลรัษฎากรก็ดีมิได้กำหนดระยะเวลาให้เจ้าหน้าที่ประเมินติดตามทวงถามไว้แต่อย่างใด ดังนั้น เจ้าหน้าที่ประเมินจะเรียกให้จำเลยหรือผู้ค้ำประกันชำระค่าอากรขาเข้าเมื่อใดก็ได้ ภายในอายุความเมื่อจำเลยไม่ชำระค่าอากรที่ต้องเสียก็ต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 112 จัตวา
สำหรับภาษีการค้า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิ วรรคท้ายได้บัญญัติไว้ว่า เงินเพิ่มตามมาตรานี้มิให้เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระโดยไม่รวมเบี้ยปรับตามมาตรา 89 ซึ่งคำว่าเงินเพิ่มตามมาตรานี้หมายความว่าเงินเพิ่มที่คิดร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระไม่ว่าจะเป็นเงินเพิ่มที่คิดก่อนหรือภายหลังนำเงินที่วางประกันหรือที่ผู้ค้ำประกันมาหักเมื่อรวมแล้วเงินเพิ่มจะต้องไม่เกินเงินภาษีการค้าที่ต้องชำระ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3718/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยประมาทเลินเล่อของผู้จัดการร้านทำให้สินค้าเสียหาย ผู้จัดการและผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบ
เมื่อคดีเดิมซึ่งศาลสั่งริบเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางเพราะเห็นว่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา การที่ผู้ร้องมาร้องขอคืนเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางจึงไม่มีข้อที่จะวินิจฉัยได้อีกว่า เครื่องรับโทรทัศน์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันหรือไม่ เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ผู้ร้องจึงไม่อาจมาร้องขอคืนเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางได้.
of 58