คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พยานหลักฐาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5517/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุแห่งความไม่ถูกต้องของคำพิพากษา ไม่ใช่เพียงกล่าวว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่เป็นความจริง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า จำเลยไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องคดีนี้มาก่อน หากจำเลยได้รับจะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีอย่างแน่นอน เนื่องจากจำเลยไม่ได้เป็นหนี้ตามฟ้อง เอกสารที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยเป็นหนี้เป็นเอกสารปลอมที่โจทก์จัดทำขึ้นเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาล คำพิพากษาของศาลที่พิพากษาให้จำเลยรับผิดตามเอกสารปลอมที่โจทก์นำสืบไปฝ่ายเดียวและเชื่อว่าจำเลยมีภูมิลำเนาตามคำฟ้อง จึงไม่ชอบ ตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวแม้จะมีข้อความระบุว่า เอกสารที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยเป็นหนี้เป็นเอกสารปลอม ก็เป็นการกล่าวเฉพาะเอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นหนี้ และข้อความในคำร้องของจำเลยมีความหมายแต่เพียงว่า พยานหลักฐานที่โจทก์สืบไม่เป็นความจริงเท่านั้น คำร้องของจำเลยจึงมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไร หรือหากมีการพิจารณาคดีใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้อย่างไรคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยสามีภริยา การพิจารณาเจตนาฆ่า และพยานหลักฐาน
จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาเหตุที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายเกิดขึ้นจากจำเลยมีอารมณ์โกรธ ที่ถูกผู้เสียหายด่าว่าด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ ไม้ของกลาง เป็นไม้แผ่นบางเล็ก แม้จะตีถูกศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะ ส่วนสำคัญของร่างกายหลายแห่งแต่ก็ไม่น่าจะทำให้ถึงแก่ความตายได้ ประกอบกับบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับ ไม่อยู่ในอาการเป็นอันตรายสาหัส ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนา ฆ่าผู้เสียหาย ส่วนที่โจทก์นำสืบบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวน ของผู้เสียหายว่า จำเลยลากตัวผู้เสียหายไปห้องน้ำ จับศีรษะผู้เสียหายกดลงในอ่างน้ำที่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม บีบคอผู้เสียหายและจับศีรษะผู้เสียหายโขกกับประตู เป็นทำนองว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายนั้น เป็นเพียง พยานบอกเล่า เมื่อโจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความ ยืนยันพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลย จึงยังรับฟังว่าจำเลย มีเจตนาฆ่าไม่ได้ คงลงโทษจำเลยเพียงฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานที่ไม่หนักแน่นเพียงพอ และการริบของกลางที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัด ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาก่อน 6 นาฬิกา แม้จะได้ความว่าสว่างแล้วเพราะอยู่ในฤดูร้อนก็ตาม แต่ก็ยังอยู่ในช่วงเช้าตรู่ ยังไม่อาจมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน พยานทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างเห็นคนร้าย เพียงชั่วขณะเดียวที่คนร้ายหันหน้าไปหาตนเท่านั้น อีกทั้งเป็นระยะห่างถึง 20 และ 30 เมตร ในสภาวะดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะจำหน้าคนร้ายได้ ทั้งพยานทั้งสองปากมิได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยคือคนร้ายเพียงแต่เบิกความว่าลักษณะของคนร้ายคล้ายกับจำเลยเท่านั้น และเมื่อพยานได้เห็นภาพถ่ายของจำเลยในแฟ้มประวัติคนร้าย ในวันเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย การที่พยานทั้งสองชี้ตัวจำเลย ได้ถูกต้องเพราะต่างได้เห็นจำเลยมาก่อนเนื่องจากเป็นผู้ร่วมจับกุมจำเลย และชี้เสื้อและ กางเกงของจำเลยโดยอ้างว่าเป็นเสื้อและกางเกงที่จำเลยสวมในวันเกิดเหตุโดยที่เสื้อและ กางเกงดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะพิเศษอันควรแก่การจดจำแต่อย่างใด ทั้งบุคคลทั่วไปก็อาจมีเสื้อและกางเกงเช่นนั้นได้ อีกทั้งเสื้อของกลางพยานโจทก์เบิกความว่าได้ให้จำเลยไปก่อน เกิดเหตุนานถึง 2 ปี จึงไม่แน่ว่าผู้สวมเสื้อในวันเกิดเหตุจะต้องเป็นจำเลย เมื่อมีการตรวจ พิสูจน์กลิ่นโดยสุนัขตำรวจพยานโจทก์เบิกความตอบทนายถามค้านว่าไม่แน่ใจว่ากลิ่นตัว ของคนร้ายจะติดอยู่หรือไม่ ทั้งเสื้อและหมวกของกลางอยู่ในความครอบครองของ พนักงานสอบสวนรวมทั้งเสื้อและกางเกงของจำเลย การตรวจพิสูจน์โดยวิธีนี้จึงยังไม่อาจ รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้สวมเสื้อและหมวกของกลางในขณะเกิดเหตุ พยานหลักฐานของโจทก์ จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ เสื้อและหมวกของกลางมิใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงจึงริบไม่ได้และต้องคืนให้เจ้าของ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5242/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานนอกเหนือจากกรอบกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) จะห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืน มาตรา 88 และมาตรา 90 ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ก็ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ เมื่อพยานบุคคลที่โจทก์ระบุอ้างเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ส่วนพยานเอกสารที่อ้างก็เป็นชุดเดียวกับที่จำเลยอ้าง ทั้งโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานและส่งสำเนาเอกสารก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะจำเลยสามารถนำสืบหักล้างได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีพยานของโจทก์ภายหลังวันชี้สองสถาน จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5179/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์-ฎีกาในคดีอาญา และการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ
ในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงที่กำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลย 1,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ(4)จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้และพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้ จึงเป็นการไม่ชอบและถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาโดยชอบแล้วในศาลอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหานี้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในความผิดฐานนี้ และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวบุคคลในคดีอาญา: พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการลงโทษ จำเลยปฏิเสธ และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน คนร้ายได้มาดักซุ่ม ยิงผู้เสียหายอยู่ที่บริเวณหลังจอมปลวกอย่างกะทันหันขณะนั้นในที่เกิดเหตุก็มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถคันที่เกิดเหตุเท่านั้น โอกาสที่ผู้เสียหายทั้งสามจะมองเห็นและจดจำใบหน้าคนร้ายให้ได้ทุกคนจึงเป็นไปไม่ได้ โอกาสจำ บุคคลผิดพลาดไปก็มีได้มาก ทั้งหากผู้เสียหายทั้งสามเห็น และจำคนร้ายได้แน่ชัดว่าเป็นจำเลยทั้งสามจริงก็จะต้อง พูดคุยกันและแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตามจับกุมตัว จำเลยทั้งสามให้ได้โดยเร็ว แต่ผู้เสียหายก็มิได้กระทำการ ดังกล่าวนั้น ดังนั้น แม้ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 จะชี้ตัวจำเลยทั้งสามว่าเป็นคนร้ายก็ตาม ก็ไม่ทำให้พยานโจทก์ มีน้ำหนักดีขึ้น เพราะผู้เสียหายทั้งสามรู้จักกับ จำเลยทั้งสามมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี ส่วนจำเลยทั้งสามนั้น นอกจากจะยืนยันให้การปฏิเสธมาโดยตลอดแล้ว หลังเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามก็มิได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นอันจะถือเป็น ข้อพิรุธแต่ประการใด ฉะนั้นพยานหลักฐานของโจทก์จึง ไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4715-4716/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแรงงานในการพิจารณาคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และการรับฟังพยานหลักฐาน
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 บัญญัติเรื่องการจดประเด็นข้อพิพาทและการดำเนินกระบวนพิจารณาไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่การจดประเด็นข้อพิพาทและการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานได้ การที่ศาลแรงงานสอบข้อเท็จจริงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่ง ซึ่งศาลแรงงานย่อมมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ ดังนั้นหลังจากศาลแรงงานกลางจดประเด็นข้อพิพาทแล้ว ต่อมาศาลแรงงานกลางสั่งให้โจทก์ทั้งสองและจำเลยเตรียมข้อเท็จจริงทั้งสองสำนวนและพยานหลักฐานที่จะใช้สนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงให้พร้อม เพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายยอมรับ ศาลแรงงานจึงมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ คดีนี้โจทก์ทั้งสองผู้เป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมค่าจ้างค้างจ่าย และเงินทดรองจ่าย แม้จำเลยแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองว่าทุจริตต่อหน้าที่และจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากการที่สาวจำหน่ายที่โจทก์ทั้งสองแต่งตั้งได้สั่งซื้อสินค้าจากจำเลยและมียอดหนี้ค้างชำระจากโจทก์ทั้งสอง ก็เป็นเพียงการฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ค้างชำระย่อมไม่มีผลให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานอกจากนี้คดีอาญาซึ่งจำเลยแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ที่1อยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการส่วนโจทก์ที่2 อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดนครปฐม ศาลแรงงานกลางจึงชอบที่จะพิจารณาและพิพากษาคดีนี้โดยไม่ต้องรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4412/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับโอนที่ดินโดยอ้างแทนมารดาและการสิทธิในกองมรดก: การนำสืบพยานและอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทบางส่วนโดยอ้างว่าจำเลยจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจาก ซ. เป็นการรับโอนแทนมารดาโจทก์บางส่วน ซึ่งกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายใดบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ส่วนการที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินก็เป็นเพียงหลักฐานของทางราชการที่แสดงในเบื้องต้นว่าเป็นผู้มีสิทธิเหนือที่ดินนั้นดีกว่าคนอื่นเท่านั้น มิใช่การทำนิติกรรมแต่อย่างใด โจทก์จึงนำสืบพยานบุคคลตามข้ออ้างของตนได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94
การเป็นตัวการตัวแทนไม่ทำให้สิทธิประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยจดทะเบียนรับโอนที่พิพาทแทนมารดาโจทก์ดังกล่าวระงับสิ้นไปด้วยความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อมารดาโจทก์ตาย โจทก์ซึ่งเป็นทายาทย่อมใช้สิทธิเรียกร้องนั้นได้ในฐานะผู้รับมรดก การนำสืบพยานบุคคลเพื่อแสดงถึงสิทธิเรียกร้องของโจทก์ จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94
เมื่อ ย. มารดาโจทก์ตายทรัพย์สินของ ย. ย่อมเป็นกองมรดกตกทอดแก่ทายาท ทายาททุกคนของ ย. จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์สินของ ย. หากทรัพย์สินอันเป็นมรดกไปอยู่กับผู้ไม่มีสิทธิทายาทคนใดคนหนึ่งย่อมมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวจากผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ในนามของตนเองทั้งหมดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745 ประกอบ มาตรา 1359 แต่ในระหว่างทายาทด้วยกันใครจะได้รับทรัพย์มรดกเท่าใดเป็นเรื่องภายในหมู่ทายาทกันเอง ไม่ใช่เรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะยกขึ้นอ้างตัดสิทธิเรียกทรัพย์มรดกคืนเพื่อนำไปแบ่งปันทายาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4288/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ศาลแก้เป็นครอบครองเพื่อเสพ
จำเลยครอบครองยาเสพติดให้โทษของกลางซึ่งบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติก จำนวน32 หลอด ซึ่งลักษณะของการบรรจุเป็นการสะดวกแก่การจำหน่าย จะสันนิษฐานในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุในหลอดพลาสติกเพื่อเตรียมจำหน่ายให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนไม่ได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยผลิตเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ด้วยการแบ่งบรรจุในหลอดพลาสติกผนึกหัวท้าย แล้วมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 ความผิดตามฟ้องย่อมรวมถึงการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 67อยู่ด้วย ถือได้ว่าความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหาซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสุดท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4257/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเงินที่ได้จากการจำหน่ายยาเสพติด ต้องมีพยานหลักฐานยืนยันแหล่งที่มาของเงิน หากจำเลยปฏิเสธการจำหน่าย ศาลต้องฟังพยานหลักฐานอื่นประกอบ
จำเลยให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เพื่อเสพ แต่ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามที่โจทก์ฟ้อง มีผลเท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธรวมไปถึง เงินจำนวน 800 บาท ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่าย เมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่นด้วยนั่นเอง รูปคดีทำให้โจทก์ มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมานำสืบให้ได้ความชัดว่าเงินจำนวน 800 บาท นั้นจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวนอื่นจริงดังที่โจทก์อ้าง แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใด นอกจากอ้างถึงคำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเท่านั้น ซึ่งข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวจำเลยได้ให้การปฏิเสธ และเบิกความปฏิเสธในชั้นพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสิ้น โดยที่โจทก์ไม่สามารถถามค้านเพื่อให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้ เพียงเท่านี้คดีโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าเงินจำนวน 800 บาท เป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวนอื่นดังที่โจทก์อ้าง จึงริบไม่ได้
of 259